การอบชุบเหล็กกล้า คือ การปรับปรุงคุณสมบัติของเหล็กกล้าโดยเฉพาะคุณสมบัติเชิงกล โดยอาศัยกรรมวิธีทางความร้อน เพื่อให้เหล็กกล้านั้นมีคุณสมบัติเปลี่ยนไปตามที่ต้องการ ซึ่งการอบชุบจะทำให้เหล็กที่ได้มีคุณสมบัติเฉพาะที่ดีกว่าเหล็กกล้าที่ผลิตด้วยกรรมวิธีปกติ เช่น อบชุบเพื่อให้เหล็กมีความแข็งมากขึ้น หรืออบชุบเพื่อให้เหล็กมีการทนการเสียดสีหรือสึกหรอได้ดีขึ้น

     การคืนตัว (Tempering) เหล็กที่ผ่านการชุบมาแล้วย่อมจะเกิดความเครียด (strain) ขึ้นภายใน และมีความแข็งเพิ่มขึ้น แต่เหล็กจะขาดคุณสมบัติทางด้าน ความเหนียว (Ductility) ทำให้ไม่เหมาะที่จะนำไปใช้งาน เพราะถ้าเกิดมีการกระแทกชิ้นเหล็กอาจจะแตกร้าวได้ จึงจำเป็นต้องปรับปรุงคุณสมบัติเสียใหม่โดยการอบคืนตัว ซึ่งมีวิธีการดังนี้
     นำเหล็กที่ผ่านการชุบมาแล้วเผาภายในเตาที่อุณหภูมิต่ำประมาณ 200 ๐C – 400 ๐C ทิ้งไว้ประมาณ 1 – 3 ชั่วโมงแล้วเอาออกปล่อย
ให้เย็น ในอากาศธรรมดา เหล็กจะมีคุณสมบัติด้านความเหนียว (Ductility) ดีขึ้น แต่ความแข็งจะลดลงเล็กน้อย ในขณะที่เผาที่อุณหภูมิต่ำ มาร์เทนไซต์จะมีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย โดยอะตอมคาร์บอนจะเคลื่อนไหวออกจากมาร์เทนไซต์มารวมกันเป็นเฟอร์ไรท์และซีเมนไซต์บางส่วน ที่เป็นเช๋นนี้เพราะมาร์เทนไซต์ไม่ใช่โครงสร้างของเหล็กที่สมดุลย์ที่อุณหภูมิบรรยากาศ เมื่อเหล็กได้รับความร้อนจะเกิดการเปลี่ยนแปลงเพื่อกลับไปเป็นโครงสร้างที่สมดุลย์คือเหล็กเฟอร์ไรท์ กับซีเมนต์ที่เราต้องเผาที่อุณหภูมิสูงไม่เกิน 400 ๐C ก็เพื่อไม่ต้องการให้มาร์เทนไซต์คืนตัวหมด เพราะเรายังต้องการความแข็งของเหล็กอยู่ ถ้าเราเผาให้อุณหภูมิสูงเกิน 400 ๐C ความแข็งจะถูกทำลายหมด
     โดยทั่ว ๆ ไปการชุบแข็ง และการคืนตัวจะต้องกระทำติดต่อกันเพื่อให้ได้เหล็กแข็งและทนแรงกระแทกได้ดีด้วย (รูปที่ STEEL-HT1 )

                                          

                                       

                            รูปที่ STEEL-HT1แสดงช่วงของอุณหภูมิในการทำอบชุบแข็งและการอบคืนตัว.
     การอบคลาย (Annealing) มีความมุ่งหมายเพื่อต้องการให้เหล็กอ่อนตัวลง (softening) หรือเพื่อ ทำให้เหล็กเหนียวขึ้น (Toughening) ส่วนใหญ่เหล็ก ที่ผ่าน
     การขึ้นรูปเย็น (cold working) หรือการหล่อมามักจะมีความแข็งเพิ่มขึ้นและไม่สม่ำเสมอ ทำให้เกิดการกลึงหรือไสยาก ดังนั้นจึงจำเป็นต้องทำลายความแข็งของเหล็กเพื่อจะได้กลึงหรือไสได้สะดวกหลักการทำ Annealing แบ่งออกเป็นสองวิธีคือ Full annealing กับ Process annealing โดยมีลักษณะแตกต่างกันดังนี้
Full annealing มีความมุ่งหมายเพื่อทำให้เหล็กแข็งอ่อนลงเพื่อสะดวกต่อการกลึงหรือไส วิธีนี้ต้องเผาเหล็กให้มีอุณหภูมิสูงจน
เหล็กกลายเป็น Austenite ที่อุณหภูมิเหนือเส้น A3 ประมาณ 50 ๐C ภายในเตาที่สามารถควบคุมอุณหภูมิได้ ทิ้งไว้ที่อุณหภูมินี้ไม่เกิน 2 ชั่วโมง จากนั้นปล่อยให้เหล็กเย็นช้า ๆ ภายในเตา ถ้าเป็นเตาไฟฟ้าก็เพียงแต่ตัดกระแสไฟเสีย แล้วปล่อยให้เหล็กเย็นอยู่ภายในเตาที่ปิดฝาสนิท เมื่อเหล็กถูกปล่อยให้เย็นช้า ๆ การเปลี่ยนโครงสร้างภายในก็จะปรับสู่สภาพใกล้เคียงสมดุลย์ โครงสร้างที่เป็นอยู่เดิม เช่นมาร์เทนไซต์หรือเบนไนท์ ฯลฯ ก็จะกลับมาเป็นเฟอร์ไรท์ และซีเมนไซต์ ทำให้ความแข็งลดลงกลายเป็นเหล็กอ่อนนิ่ม
Process annealing มีความมุ่งหมายเพื่อทำลายความเครียดภายในให้หมดไป เช่น เหล็กที่ถูกรีดหรือตีขึ้นรูปมา ถ้าจะนำไปทำ ต่อ
     ในขั้นต่อไป เหล็กจะต้องผ่าน Annealing เพื่อให้มีความต้านทานแรงกระทำน้อยลง วิธีนี้เผาเหล็กให้ร้อนถึงอุณหภูมิต่ำกว่ายูเต็คตอยด์ คือต่ำกว่าเส้น A1 เล็กน้อย ทิ้ไว้นานพอสมควรเพื่อให้เหล็กร้อนทั่วถึงกัน หลังจากนั้นปล่อยให้เหล็กเย็นช้า ๆ วิธีนี้ความแข็งของเหล็กจะลดลงเล็กน้อย เพราะโครงสร้างของเหล็กแต่เดิมไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก แต่ความเครียดที่มีอยู่จะถูกทำลายหมดไป
การทำ Normalizing มีความมุ่งหมายเพื่อปรับปรุงความเหนียว โดยขนาดลดขนาดของเม็ดเกรนของเหล็ก (grain size) เพื่อทำให้คุณสมบัติของ เหล็กสม่ำเสมอ และในขณะเดียวกันก็ช่วยในการลดความเครียดภายในด้วย โดยทั่ว ๆ ไปเหล็กที่ผ่านการหล่อ (casting) หรือการรีดขึ้นรูปมามักจะมีความแข็งหรือความเหนียวไม่สม่ำเสมอตลอดทั้งแท่ง จึงจำเป็นต้องนำมาทำ Normalizing โดยการเผาเหล็กให้ร้อนจนกลายเป็นออสเตนไนท์ที่อุณหภูมิเหนือเส้น A3 ประมาณ 50 ๐C หลังจากทิ้งไว้จนอุณหภูมิเท่ากันหมดทุกจุดตลอดภายในใจกลางด้วย โดยทั่ว ๆ ไปเหล็กที่ผ่านการหล่อ (casting) หรือมักรีดขึ้นรูปมามักจะมีความแข็งหรือความเหนียวไม่สม่ำเสมอตลอดทั้งแท่ง จึงจำเป็นต้องนำมาทำ Normalizing โดยการเผาเหล็กให้ร้อนจนกลายเป็นออสเตนไนท์ที่อุณหภูมิเหนือเส้น A3 ประมาณ 50 ๐C หลังจากทิ้งไว้จนอุณหภูมิเท่ากันหมดทุกจุดตลอดภายในใจกลางด้วย จากนั้นจึงเอาเหล็กออกมาจากเตาทิ้งให้เย็นอากาศธรรมดา การปล่อยให้เหล็กเย็นในอากาศนั้นอัตราการเย็นตัวของเหล็กจะเร็วกว่าการทำ Annealing ดังนั้นเม็ดเกรนของเหล็กจะมีขนาดเล็กกว่า ทำให้เหล็กมีความเหนียวดีและคุณสมบัติสม่ำเสมอ

                                          

รูปที่ STEEL-HT2 Heat-treatment Temperatures of Carbon Steelsin Relation to the Equilibrium Diagram

     การทำ spheroidizing เป็นการชุบเหล็กประเภทหนึ่งที่กระทำกับเหล็กที่มีคาร์บอนตั้งแต่ 0.8% ขึ้นไปเพราะเหล็กเหล่านี้จะมีโครงสร้างที่ประกอบด้วยเพิรไลท์เป็นส่วนใหญ่ คือโครงสร้างที่ประกอบด้วยแถบของเฟอร์ไรท์กับซีเมนไซต์สลับกัน ดังนั้นในการกลึงหรือไสจึงไม่เรียบเพราะมีดกลึงจะต้องตัดผ่านของแข็งและอ่อนสลับกัน การทำ spheroidizing เป็นการทำเพื่อเปลี่ยนลักษณะโครงสร้างจากลักษณะที่เป็นแถบยาวของซีเมนไซต์ให้มีลักษณะเป็นเม็ดกลมเล็ก ๆ กระจายอยู่ทั่วไปในขณะทำการกลึง ตัวมีดจะได้ไม่ต้องตัดผ่านซีเมนไซต์ในขณะที่ตัวมีดเคลื่อนที่ผ่านของซีเมนไซต์ก็จะหลุด หรือเบนหนีการตัดผ่านไปได้ทำให้ตัวมีดตัดผ่านแต่เฉพาะเฟอร์ไรท์อย่างเดียว
วิธีการทำ spheroidizing กระทำได้สองแบบ วิธีแรก เผาเหล็กให้ร้อนที่อุณหภูมิต่ำกว่าเส้น A1 เล็กน้อย แล้วทิ้งไว้ที่อุณหภูมินี้ประมาณ 10 – 15 ชั่วโมง เพื่อให้ซีเมนไซต์เปลี่ยนรูปเป็นเม็ดกลม หลังจากนั้นเอาเหล็กออกปล่อยให้เย็นในอากาศ
วิธีที่สอง เผาเหล็กให้ร้อนที่อุณหภูมิเหนือเส้น A1 เล็กน้อย แล้วปล่อยให้เย็นลงมาจนต่ำกว่าเส้น A1 แล้วกลับเผาให้อุณหภูมิเหนือเส้น A1
อีก กระทำสลับกันไปประมาณ 10 ชั่วโมง หลังจากนั้นปล่อยให้เหล็กเย็นในอากาศ

                                               
            รูปที่ STEEL-HT3 แสดงลักษณะโครงสร้างของเหล็กกล้าที่ผ่าน Annealing กับ Normalizing ที่อุณหภูมิต่างกัน.

ขอบคุณข้อมูจากhttp://www.ebuild.co.th

ที่มา : http://www.vcharkarn.com/vblog/44921/2

 

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า