เหล็กโครงสร้างขนาดใหญ่
1. **ขนาดใหญ่:** เหล็กโครงสร้างขนาดใหญ่มักมีขนาดใหญ่และใช้ในโครงสร้างขนาดใหญ่ เช่น สะพาน อาคารสูง โครงสร้างพื้นที่กว้าง และโครงสร้างอุตสาหกรรมใหญ่.
2. **การรับน้ำหนักและแรงกระทำได้สูง:** เหล็กโครงสร้างขนาดใหญ่ออกแบบให้สามารถรับน้ำหนักและแรงกระทำได้สูง เช่น สามารถรับน้ำหนักที่มากกว่าเหล็กเกรดทั่วไป.
3. **ความต้านการกัดกร่อน:** เหล็กโครงสร้างขนาดใหญ่มักมีความต้านการกัดกร่อนที่สูง เพราะต้องรับสภาวะอากาศและสภาวะสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงได้.
เหล็กรูปพรรณ:
1. **รูปทรงและมิติแตกต่าง:** เหล็กรูปพรรณมักมีขนาดเล็กกว่าและส่วนใหญ่ถูกปั้นรูปเพื่อให้ได้รูปทรงและมิติที่ต้องการ เช่น เส้น, แผ่น, และชิ้นส่วนที่ซับซ้อน.
2. **ความแข็งแรงและความต้านการกัดกร่อนที่ต่ำกว่า:** เหล็กรูปพรรณมักมีความแข็งแรงและความต้านการกัดกร่อนที่ต่ำกว่าเหล็กโครงสร้างขนาดใหญ่ เนื่องจากการประมวลผลและการปั้นรูปที่ทำให้เสียคุณสมบัติบางประการ.
3. **การนำไปใช้งานในส่วนต่าง ๆ:** เหล็กรูปพรรณมักมีการนำไปใช้งานในส่วนต่าง ๆ เช่น การผลิตสินค้าอุตสาหกรรม, เครื่องจักร, โครงสร้างเล็ก ๆ, และงานที่ต้องการความแม่นยำในรูปทรงและขนาด.
สรุป:
เหล็กโครงสร้างขนาดใหญ่และเหล็กรูปพรรณมีคุณสมบัติและการนำมาใช้ที่แตกต่างกัน โดยเหล็กโครงสร้างขนาดใหญ่มักมีขนาดใหญ่และมีความสามารถในการรับน้ำหนักและแรงกระทำสูง ในขณะที่เหล็กรูปพรรณมักมีการปั้นรูปและนำมาใช้ในงานที่ต้องการความแม่นยำในรูปทรงและขนาด.
เหล็กโครงสร้าง ขนาดใหญ๋ เช่น H-Beam และ I-Beam เป็นชนิดของชิ้นงานโครงสร้างที่ใช้ในงานก่อสร้างและอุตสาหกรรมเพื่อรองรับน้ำหนักและแรงกระทำต่าง ๆ โดยทั่วไปแล้วจะมีลักษณะเป็นแถบๆ ที่มีรูปทรงคล้ายตัวอักษร “H” หรือ “I” ตามชื่อของมัน โดยมีการออกแบบเพื่อให้มีความแข็งแรงและสามารถรองรับน้ำหนักได้มากที่สุด
ความแตกต่างระหว่าง H-Beam และ I-Beam คือรูปทรงและการกระจายแรงกระทำที่แตกต่างกันดังนี้:
- รูปทรง:
- H-Beam: มีลักษณะเป็นรูปตัวอักษร “H” ซึ่งมีสองแถบแนวนอนที่เชื่อมต่อกันด้วยแถบแนวตั้ง (เรียกว่า “ไวแฟรงค์”) ที่ตั้งตรงกลางของแถบนอน แถบตั้งนี้จะช่วยให้มีความแข็งแรงและสามารถรองรับแรงแบบต่าง ๆ ได้
- I-Beam: มีลักษณะคล้ายกับตัวอักษร “I” โดยมีแถบแนวตั้ง (เรียกว่า “ไวแฟรงค์”) ที่ตั้งตรงกลางของแถบนอน แต่ไม่มีแถบแนวนอนเชื่อมต่อเข้ามา
- การกระจายแรง:
- H-Beam: เน้นการกระจายแรงแบบที่มีแว่นพันธุ์ทั้งแถบนอนและแถบตั้ง เหมาะสำหรับการรองรับแรงแบบทั่วไปและมีน้ำหนักที่กระจายไปยังแกนต่าง ๆ ของชิ้นงาน
- I-Beam: เน้นการกระจายแรงในแถบตั้งมากกว่า มีความแข็งแรงในการรองรับแรงบิดและแรงแบบเส้นตรง
การเลือกใช้ H-Beam หรือ I-Beam ขึ้นอยู่กับแรงกระทำและการใช้งานที่แตกต่างกัน โดยส่วนใหญ่ H-Beam ใช้ในงานที่ต้องรองรับแรงแบบทั่วไป เช่น โครงสร้างอาคาร ส่วน I-Beam ใช้ในงานที่ต้องรับแรงบิดและแรงแบบเส้นตรง เช่น โครงสร้างสะพาน และเครื่องจักรที่ต้องรับแรงบิดมากขึ้น การเลือกใช้ชนิดไหนขึ้นอยู่กับการวิเคราะห์แรงกระทำและความต้องการของโครงการในแต่ละกรณี