นวัตกรรมเหล็ก เอสดี50
ก่อสร้างไทยก้าวสู่ยุคนวัตกรรมเหล็ก เอสดี50 – เหล็กเส้นขึ้นรูป – ต้านแผ่นดินไหว ความต้องการการใชเ้หล็กในประเทศไทย มีประมาณ 2.5 ล้านตัน ต่อปีและในช่วงที่ประเทศไทยประสบปัญหาการเมือง อุตสาหกรรมเหล็กก็ยังมียอดเติบโตสูงถึง10%
“เหล็กเส้น” ในโครงสร้างอาคาร เปรียบเสมือนกระดกูสัน หลังของร่างกาย ทำาหน้าที่เป็นแกนหลัก ของโครงสรา้งทั้งหมด และ เป็นจดุเชื่อมต่อ่ใหอวัยวะอื่นๆ ของร่างกาย สําหรับเหล็กเส้นแล้วเมื่อนำไปสร้างแล้วจะไม่สามารถรื้อถอน และเปลี่ยนทดแทนไดเ้หมื่อนวัสดที่ใช้ในงานกอ่สรา้งอื่นๆ เช่นสี ท่อนํ้า กระเบื้อง ฝ้า ฯลฯ ดังนั้นการพจิารณาเลื่อกใชเ้หล็กเส้นที่ดีตั้งแต่เริ่มต้นโครงการ จะสร้างความมั่นคง และ ปลอดภัย ของโครงสร้างอาคาร สําหรับใช้งานและอยู่อาศัยตลอดไป ราจีฟ มังกัล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทาทา สตีล(ประเทศไทย) จํากัด (มหาชน) กลา่วว่า “ความต้องการ การใชเ้หล็กในประเทศไทย มีประมาณ 2.5 ล้านตัน ตอ่ปีและในชว่งที่ประเทศไทยประสบปัญหาการเมือง อุตสาหกรรมเหล็กก็ยังมียอด เติบโตสูงถึง10% จากการขยายตัวของโมเดิรน์เทรดและการส่งออกไปยังประเทศเพื่อนบ้านมากขึ้นคาดว่าหลังจากนี้ อุตสาหกรรมเหล็กจะเติบโตได้มากขึ้นไปอีก” ปัจจุบัน มีการพัฒนาเหล็กเส้นให้แข็งแรงมากขึ้นมีประสิทธิภาพมากขึ้นเพื่อตอบสนองการเติบโตของอุตสาหกรรมก่อสร้าง ยุคใหม่อาจกลา่วได้ว่าวงการก่อสร้างไทยกําลังก้าวเข้าสู่ยุค นวัตกรรมเหล็ก ที่มีการพัฒนาเหล็กเส้นคณุภาพ เอสดี 50 ที่สามารถรับแรงดึงได้สูงกว่าขึ้นมาใชแ้ทนเหล็ก เอสดี 40 และ เอสดี 30
นอกจากคณุสมบตั ที่ดีกว่าเหล็กเส้นเอสดี50 ยังช่วยประหยัดต้นทุนเหล็กได้อีกทางหนึ่งด้วย เนื่องจากราคาเหล็กเส่น ก่อสร้างไม่ได้ผันแปรตามคณุสมบัติในการรับน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นหรือตามชั้นคณุภาพของเหล็ก แต่ราคาขึ้นอยู่กับน้ำหนักเหล็กเป็นสําคัญ การควบคุมปริมาณการใช้งานเหล็กเส้นจึงเป็นวิธีการที่สําคัญ ในการลดคา่ใช้จ่าย
การเลื่อกใชเ้หล็กเส้น เอสดี50 ที่สามารถรับแรงดึงได้สูงกว่าช่วยลดปริมาณการใช้เหล็กในการกอ่สร้างลงได้ประมาณ 15- 20% เมื่อเปรียบเทียบกับการใช้เหล็ก เอสดี40 ในขณะที่ราคาเหล็ก เอสดี50 สูงกว่าเหล็ก เอสดี40 ประมาณ 2-4% เท่ากับ ว่าสามารถประหยัดต้นทุนเฉลี่ยราว 13-22% หากเปรียบเที่ยบ กับการใช้เหล็ก เอสดี30 พบว่าช่วยลดปริมาณการใช้เหล็กในการก่อสร้างลงได้ 30-40% ของโครงการ ก่อสรา้ง ขึ้นอยู่กับแบบกอ่สร้าง นวัตกรรม “เหล็กเส้นขึ้นรูป (cut and bend)” ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้มากขึ้นกับบรกิาร ตัด และ ดัด จากโรงงาน จุดเด่นอยู่ ที่การได้งานคณุภาพตามความต้องการ ไม่มีเศษเหล็กถูกตัดทิ้งหรือการตัด ดัด ผิดพลาดใหเ้ป็นภาระตน้ทนุของการกอ่สร้าง การตัด และดัด ในโรงงานใชเ้ครื่อง จักรควบคมุด้วยระบบคอมพิวเตอร์จึงสามารถควบคมุคณุภาพและดัด ขึ้นรูปได้หลาก หลายกว่าการทาํงานที่หน้างาน รองรับความต้องการรูปแบบทหีลากหลายมากขึ้นนอกจากนี้ยังสามารถต๊าปเกลียว เหล็กข้ออ้อย เพื่อใช้ในการต่อเหล็กด้วยหัว คอปเลอร์ มาจากโรงงานให้พร้อมใช้งานได้ด้วย
จากการศึกษาพบว่า นวัตกรรมเหล็กเส้นขึ้นรูป ช่วยลดค่าใช้จ่ายงานเหล็กเส้นโดยรวมได้ไม่น้อยกว่า 500 บาท ต่อตัน “เหล็กต้านแผ่นดินไหว” อีกนวัตกรรมหนึ่งที่น่าสนใจ และคาดวา่จะเป็นที่ต้องการของตลาด เนื่องจากเพิ่งเกิดเหตกุารณ์แผ่นดินไหวครังใหญ่ที จ.เชียงราย เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา
คณุลักษณะพิเศษของเหล็กต้านแผ่นดินไหวคือ คุณสมบัติเนื้อเหล็กภายในเหนียวเป็นพเิศษ โดยการผสมสารเคมีสตูร เฉพาะตัวด้วยสารคารบ์อน ซัล เฟอร์ ฟอส ฟอรัส ผ่านกระบวนการผลิตที่ควบคุม อัตโนมัติทั้งความดัน ของน้ำ ความแรงของนํ้าจากกระบอกฉีด ปริมาณละอองนํ้า ทำให้ได้คุณสมบัตเนื้อเหล็กภายในใหเ้หนียวเป็นพเิศษ ทำให้ดูดซับ พลงังานได้มากขึ้น ลดความเสี่ยงจากการขาดของเหล็กเส้นที่เป็นสาเหตใุห้โครงสร้างอาคารพังทลายอย่างฉับพลันได้
Cr : https://www.onestockhome.com