google.com, pub-1539147387772263, DIRECT, f08c47fec0942fa0
เหล็กรางน้ำ

เหล็กรางน้ำ

การพูดถึง “เหล็กรางน้ำ” น่าจะเป็นการอ้างถึงเหล็กที่ใช้ในการสร้างรางน้ำหรือระบบระบายน้ำในสถาปัตยกรรมและงานก่อสร้าง รางน้ำเป็นช่องที่มีการออกแบบให้น้ำไหลผ่านเพื่อระบายน้ำจากพื้นผิวหรือสถานที่ที่น้ำสะสมได้ เหล็กที่ใช้ในการสร้างรางน้ำจะต้องมีคุณสมบัติที่เหมาะสมเพื่อรับน้ำและทนทานต่อสภาวะอากาศและสิ่งแวดล้อมที่มีการเปลี่ยนแปลงได้ นี่คือบางคุณสมบัติที่เหล็กรางน้ำอาจมี:

1. **ความต้านการกัดกร่อน:** เหล็กที่ใช้ในรางน้ำควรมีความต้านการกัดกร่อนสูง เนื่องจากต้องรับสภาวะอากาศและน้ำที่มีความเปลี่ยนแปลงได้.

2. **ความทนทานต่ออุณหภูมิและความชื้น:** เหล็กที่ใช้ในรางน้ำควรมีความทนทานต่ออุณหภูมิและความชื้น เพื่อป้องกันการสนิมและการเกิดความเสียหายจากสภาวะอากาศที่ชุ่มชื่น.

3. **ความแข็งแรง:** เหล็กที่ใช้ในรางน้ำควรมีความแข็งแรงเพียงพอเพื่อรับน้ำและความแรงกระทำที่เกิดขึ้น.

4. **ความทนทานต่อแรงกระแทก:** เหล็กในรางน้ำควรมีความทนทานต่อแรงกระแทก เนื่องจากอาจมีการกระแทกจากวัสดุหรือวัตถุอื่นที่ถูกพามาด้านในรางน้ำ.

5. **ความคงทนต่อเสียตัด:** เหล็กที่ใช้ในรางน้ำควรมีความคงทนต่อการเสียตัด เพื่อป้องกันการเกิดความเสียหายจากการใช้งานหรือการบำรุงรักษา.

สำหรับงานรางน้ำหรือระบบระบายน้ำในสถาปัตยกรรมและงานก่อสร้าง การเลือกใช้เหล็กที่มีคุณสมบัติที่เหมาะสมสำคัญมากเนื่องจากต้องการให้ระบบทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและทนทานต่อสภาวะแวดล้อมที่ต่างกัน

เหล็กเอชบีมมีคุณสมบัติอะไร

เหล็กเอชบีมมีคุณสมบัติอะไร

        เหล็กเอชบีมเป็นชนิดหนึ่งของเหล็กที่มีคุณสมบัติพิเศษมากมายเนื่องจากการผสมผสานระหว่างเหล็กกับส่วนผสมอื่น ๆ ทำให้เหล็กเอชบีมมีคุณสมบัติที่แข็งแรงและต้านการกัดกร่อนได้ดีมาก นี่คือคุณสมบัติหลายอย่างของเหล็กเอชบีม

2023-03-03_10-04-00

1. **ความแข็งแรงสูง:** เหล็กเอชบีมมีความแข็งแรงสูงมาก เช่นเหล็กเอชบีมเกรด SS400 และเกรด SM520 มีความสามารถรับน้ำหนักและแรงกดที่มากกว่าเหล็กคาร์บอนทั่วไป.

2. **ความต้านการกัดกร่อน:** คุณสมบัตินี้ทำให้เหล็กเอชบีมมีความทนทานต่อการกัดกร่อนและสึกหรอมาก เหมาะสำหรับการใช้งานในสภาพแวดล้อมที่มีความเป็นกรดหรือเกล็ดผลกระทบ.

3. **ความยืดหยุ่นดี:** เหล็กเอชบีมมีความยืดหยุ่นที่ดีกว่าเหล็กคาร์บอนเนื่องจากการผสมผสานส่วนผสมอื่น ๆ เช่น คาร์บอน ซิลิคอน และมังคุด.

4. **ความคงทนต่ออุณหภูมิสูง:** เหล็กเอชบีมมีความคงทนต่ออุณหภูมิสูง สามารถใช้งานในสภาพแวดล้อมที่มีอุณหภูมิสูงได้โดยไม่เสียคุณสมบัติหลัก.

5. **การเชื่อมต่อง่าย:** เหล็กเอชบีมมีความเหมาะสมสำหรับการเชื่อมต่อแบบหลายวิธี เช่น การเชื่อมต่อด้วยการเชื่อมเหล็กทั่วไป, การเชื่อมต่อด้วยการเชื่อมเหล็กไฮเทนชัน (High Tensile Steel), และอื่น ๆ.

6. **ความคงทนต่อการแก้ไขรอยข่วน:** เหล็กเอชบีมมีความทนทานต่อการแก้ไขรอยข่วน (dimpling) หรือรอยบุบที่เกิดจากแรงกระแทก.

7. **ความทนทานต่อการรั่วไหลของคาร์บอน:** เหล็กเอชบีมมีความสามารถในการรักษาคาร์บอนได้ต่ำกว่าเหล็กคาร์บอนทั่วไป ทำให้มีโอกาสน้อยในการเกิดกระบวนการคาร์บอนได้.

ความสามารถและคุณสมบัติของเหล็กเอชบีมอาจมีความแตกต่างไปตามเกรดและสูตรองค์ประกอบที่ใช้ แต่ส่วนใหญ่แล้วคุณสมบัติเหล่านี้เป็นคุณสมบัติทั่วไปของเหล็กเอชบีมที่ทำให้เหล็กชนิดนี้เป็นวัสดุที่นิยมใช้ในงานก่อสร้าง ยานพาหนะ โครงสร้างเหล็ก และอุตสาหกรรมอื่น ๆ ที่ต้องการความแข็งแรงและความทนทาน.

H-Beam และ I-Beam นั้นใช้งานต่างกันอย่างไร

H-Beam และ I-Beam นั้นใช้งานต่างกันอย่างไร

H-Beam และ I-Beam นั้นใช้งานต่างกันอย่างไร

หน้าตาคล้ายกัน แต่การใช้งานนั้นอาจแตกต่างกันในรายละเอียด มาดูกันว่า เหล็ก H-Beam และ I-Beam นั้นใช้งานต่างกันอย่างไร

ด้วย H-Beam นั้นมีขนาดหน้าตัดให้เลือกใช้ที่หลากหลาย ตั้งแต่ขนาด H100x50 mm. จนถึงขนาดใหญ่สุด H900x300 mm.ทำให้ H-Beam นั้นถูกเลือกใช้ในงานที่หลากหลาย ทั้งโครงสร้างของอาคาร, โครงสร้างของโรงงาน หรืองานโครการขนาดใหญ่ เช่น โรงจอดเครื่องบิน (Hangar)

แต่สำหรับเหล็ก I-Beam นั้นถูกผลิตขึ้นมาเพื่อใช้ในงานที่เฉพาะเจาะจงมากกว่า เช่น รางเลื่อนของเครนในโรงงานอุตสาหกรรม เพราะความหนาของ Flange (ปีกที่ยื่นออกมา) ที่มากและมีลักษณะ Taper (เรียวที่ปลาย) ไม่เหมือนกับ H Beam ที่ความหนาของ Flange จะเท่ากันตลอด ส่งผลให้โดยทั่วไป I-Beam จะสามารถรับแรงกระแทกได้ดี แต่ก็จะมีน้ำหนักที่มากกว่า H-Beam ในขนาดหน้าตัดที่เท่ากัน เช่น

  • H 300x150x6.5×9 mm. น้ำหนัก 36.7 kg/m
  • I 300x150x8x13 mm. น้ำหนัก 48.3 kg/m
  • ซึ่ง I-Beam จะมีน้ำหนักมากกว่าถึง 32 %

เห็นอย่างนี้แล้ว ในครั้งต่อไปเราอาจจะต้องพิจารณาการเลือกใช้ระหว่าง H-Beam กับ I-Beam ให้ถูกกับประเภทการใช้งาน เพื่อเป็นการประหยัดต้นทุนในการก่อสร้างได้อีกทางหนึ่ง

ขอบคุณข้อมูลจาก: hbeamconnect.com/blog/difference-usages-between-h-beam-and-i-beam/

 

 

    หรือสนใจซื้อวัสดุก่อสร้างอื่นๆ      สามารถขอราคาออนไลน์ทันใจได้เลย หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติมสารมารถต่อติดสอบถามรายละเอียดได้ที่ เบอร์ 02 749 1007-14 หรือไลน์ @thanasarn
qr-code-thanasarnารางเหล็กเอชบีม, #ขนาดเหล็กเอชบีม,#ตารางน้ำหนักเหล็กเอชบีม,#ขนาดเสาเอชบีม,#น้ำหนักเหล็ก H Beam,#ขายเหล็กราคาถูก,#ราคาเหล็กก่อสร้าง,#เหล็กโครงสร้าง,#เหล็ก H Beam

เหล็กเอชบีม H-beam 350×350 (H-Beam Steel)

เหล็กเอชบีม  H-beam 350×350 (H-Beam Steel)

เหล็กเอชบีม (H – BEAM) เป็นเหล็กโครงสร้างรูปพรรณรีดร้อน อีกแบบหนึ่ง เหมาะสำหรับงานโครงสร้าง ซึ่งพบเห็นได้ทั่วไปในงาน โครงสร้างเหล็ก ซึ่งใช้ร่วมกับ เหล็กรูปพรรณอื่นๆได้ เช่น เหล็กรางน้ำ เหล็กกล่อง เป็นต้น

ลักษณะสำคัญของเหล็กเอชบีม  H-beam 350×350

ลักษณะของเหล็ก จะคล้ายรูปตัว H มีขนาด ด้านกว้างและด้านยาวเท่ากัน เช่น เหล็กเอชบีม H-beam 350×350
( ลักษณะที่เด่นชัดคือปีกที่กว้างที่เท่ากัน )
เกรดเหล็กเอชบีม SS400 , SM520 ความยาวปกติ 6 M. / 9 M. / 12 M.

การผลิตเหล็กเอชบีม

เหล็กเอชบีม (H-BEAM) คือ เหล็กรูปพรรณรีดร้อน (Hot-Rolled Structural Steel) ที่เกิดจากการหลอมและหล่อเป็นเหล็กแท่ง แล้วรีดในขณะที่เหล็กยังร้อนให้มีหน้าตัดเป็นรูปตัวอักษรภาษาอังกฤษ “H” ตามการเรียกชื่อ รูปแบบของหน้าตัดจะมีปีก (Flange) กว้างออกมาจากเอว (Web) ตรงกลาง โดยจะมีความหนาของเหล็กในส่วนปีกเท่ากันตลอด ไม่มีการปาดหรือลบมุมที่ปลายปีก

การใช้งานเหล็กเอชบีม

เหล็กเอชบีมเหมาะสำหรับการใช้งานเป็นโครงสร้างคาน เสา และโครงสร้างหลังคา ทั้งในอาคารบ้านพักอาศัย โรงงาน อาคารสูง หรือสนามกีฬา ทั้งนี้เหล็กเอชบีม (H-BEAM) ตามมาตรฐาน ASTM ของประเทศสหรัฐอเมริกาจะเรียกว่าเหล็ก Wide Flange (W-Shape)

ปัจจุบันเหล็กเอชบีม (H-BEAM) รวมทั้งเหล็กรูปพรรณแบบต่างๆ สามารถผลิตได้ภายในประเทศไทยและได้รับความนิยมมากในงานก่อสร้าง เนื่องจากงานก่อสร้างด้วยโครงสร้างเหล็กมีความสะดวกรวดเร็ว ไม่จำเป็นต้องรอให้แห้งหรือเซตตัวต่างจากงานคอนกรีต สามารถดัดโค้งได้ มีขนาดที่ได้มาตรฐานเนื่องจากผลิตมาจากโรงงาน เป็นการก่อสร้างด้วยระบบแห้งหน้างานจึงไม่สกปรกเลอะเทอะ สามารถนำมาดัดแปลง ต่อเติม และรื้อถอนได้ง่าย และยังสามารถนำกลับมาใช้งานใหม่ได้อีกครั้งอีกด้วย

สีกันสนิม

คือ เป็นสีที่ใช้ทาเหล็กเพื่อป้องกันการเกิดสนิมจากสภาพอากาศต่าง ๆ และมีอีกชื่อที่เรียกกันอีกคือสีรองพื้นกันสนิม อีกทั้งยังมีประสิทธิภาพในการช่วยให้สีจริงยึดเกาะกับตัวเหล็กมากยิ่งขึ้น

การเลือกสีกันสนิมให้เหมาะสมกับเหล็ก

ก่อนอื่นต้องดูสภาพเหล็กก่อนว่ามีลักษณะพื้นผิวแบบไหนว่ามีสนิมหรือไม่ เป็นเหล็กเก่าหรือว่าเหล็กใหม่ ซึ่งการสังเกตพื้นผิวของเหล็กเป็นวิธีทีที่สามารถเลือกสีกันสนิมได้ง่ายและหาสีกันสนิมที่เหมาะกับเหล็กที่เราจะใช้งานมากขึ้น

การทาสีเหล็ก แบ่งตามประเภทของเหล็ก

เหล็กใหม่ที่ยังไม่ได้ใช้งาน

  1. ต้องขัดผิวเหล็กให้สะอาดก่อนแล้วหลังจากนั้นให้ทาสีกันสนิมก่อน 1-2 รอบ เพื่อเพิ่มแรงยึดเกาะระหว่างสีจริงและตัวเหล็กของเรา

  2. หลังจากที่สีรองพื้นของเราแห้งก็สามารถทาสีจริงได้เลย ในการทาสีจริงหรือสีทาทับหน้านั้นต้องทา 2 รอบและแต่ละรอบใช้เวลาแห้งประมาณ 7 ชั่วโมง อีกทั้งสีจริงและสีรองพื้นที่ทาต้องเป็นยี่ห้อเดียวกันเพื่อให้สีที่เรียบเนียนและสวยงาม

เหล็กเก่าที่มีสนิมแต่ยังสามารถใช้งานได้

  1. ขั้นแรกต้องใช้กระดาษทรายขัดเหล็กให้สนิมที่เกาะติดอยู่กับตัวเหล็กให้หลุดออกให้หมด หลังจากนั้นให้ทำความสะอาดเหล็กให้สะอาด แล้วทาสีกันสนิมเพื่อป้องกันการเกิดสนิมอีกครั้ง

  2. เมื่อทาสีรองพื้นกันสนิมเสร็จหลังจากนั้นสามารถทาสีจริงที่เหล็กได้เลย

ประเภทของสีรองพื้น

  1. สีรองพื้นกันสนิมอีพ็อกซี่เป็นสีกันสนิมที่มีคุณภาพที่สูง อีกทั้งยังมีประสิทธิภาพอีกมากมาย ทั้งสามารถทนทานต่อการเสียดทานหรือขูดเป็นอย่างดี เนื่องจากสีรองพื้นประเภทนี้มีคุณภาพที่สูงมากจึงทำให้มีราคาค่อนข้างสูงเมื่อเปรียบเทียบกับสีรองพื้นกันสนิมประเภทอื่น ถึงจะเป็นรองพื้นกันสนิมที่มีคุณภาพสูงแต่ก็ไม่ค่อยเป็นที่นิยมใช้กัน เนื่องจากเป็นสีที่ผู้ใช้ต้องผสมเองอีกทั้งยังมีขั้นตอนที่ยุ่งยากและซับซ้อน ในการผสมต้องใช้ในอัตราส่วนที่กำหนดถ้าผสมผิดจะไม่สามารถแก้ไขได้และอาจจะทำให้ประสิทธิภาพของสีกันสนิมลดลงได้ สีทาสนิมประเภทนี้ส่วนใหญ่จะใช้กับเหล็กที่ต้องการการความทนทานที่สูงและสี่ที่ติดคงทนไม่จำเป็นที่จะต้องทาสีใหม่บ่อย

  2. สีรองพื้นกันสนิมเรดเลดเป็นสีกันสนิมที่มีประสิทธิภาพในการกันสนิมได้ดีมาก เนื่องจากส่วนผสมที่เป็นประเภทตะกั่วที่มีประสิทธิภาพในการกันสนิมได้ดีเยี่ยมอีกทั้งยังมีส่วนประกอบอื่น ๆ ที่ช่วยให้สีรองพื้นชนิดนี้เป็นมีประสิทธิภาพในการเกินสนิมใหม่ แต่สีรองพื้นประเภทนี้เป็นสีที่มีราคาตั้งแต่กลาง ๆ จนถึงราคาที่สูงขึ้นอยู่กับส่วนผสม สีประเภทนี้จะใช้ในงานอุตสาหกรรมและโครงสร้างที่มีขนาดใหญ่

  3. สีรองพื้นกันสนิมอัลคิดเรซิน เป็นสีที่สามารถกันสนิมได้ดีแต่น้อยกว่าสีรองพื้นกันสนิมอีพ็อกซี่และสีรองพื้นกันสนิมเรดเลด แต่ถึงอย่างนี้สีรองพื้นชนิดนี้ยังเป็นสีรองพื้นที่มีประสิทธิภาพมากสามารถทนทานการขูดและการเสียดทานได้ดีและสีชนิดนี้สามารถใช้ในงานทั่วไปได้เลยจึงทำให้เป็นสีรองพื้นกันสนิมที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลายอีกทั้งยังมีราคาที่ถูกกว่าสีรองพื้นประเภทอื่นอีกด้วย

ความแตกต่างระหว่างเหล็ก I Beam กับเหล็ก H Beam

หลายท่านคงมีความสงสัยว่าเหล็ก 2 ตัวนี้ แตกต่างกันอย่างไร ซึ่งเหล็กทั้ง 2 หน้าตัดนี้ มีข้อแตกต่างกันอยู่ 2 ด้าน คือ

  1. ด้านการนำไปใช้งานเหล็กเอชบีม H-beam จะนำไปใช้ในงานก่อสร้างอาคาร เป็นชิ้นส่วนของ เสา คาน โครงหลังคา ฯลฯ H-BEAM มีขนาดหน้าตัดให้เลือกที่หลากหลาย ตั้งแต่ H100x50mm. จนถึงขนาดใหญ่สุด H900x300mm. ทำให้ H-BEAM นั้นถูกเลือกใช้ในงานที่หลากหลาย ทั้งโครงสร้างอาคาร โครงหล้งคา โครงสร้างโรงงาน หรืองานโครงการขนาดใหญ่เป็นต้น เช่น โรงจอดเครื่องบิน

    เหล็กไอบีม I-beam จะนิยมนำไปทำรางเคน Crane Girder ที่ไว้ใช้ยกของที่มีน้ำหนักมาก แะเหล็กไอบีมนี้ ถูกผลิตขึ้นมากเพื่อใช้ในงานที่เฉพาะเจาะจงมากกว่า เช่น รางเลื่อนของเครนในโรงงานอุตสาหกรรม เพราะความหนาของ Flange ปีกที่ยื่นออกมา ที่มาก และมีลักษระ Taper เรียวที่ปลาย ไม่เหมือนกับ H-beam ที่มีความหนาของ Flange เท่ากันตลอด ส่งผลให้โดยทั่วไป I-beam จะสามารถรับแรงกระแทกได้ดี แต่ก็จะมีน้ำหนักที่มากกว่า เอชบีม H-Beam ในขณะที่หน้าตัดเท่ากัน เช่น

  • H 300x150x6.5x9mm. นน. 7 กก./ม.

  • I 300x150x8x13mm. นน. 3 กก./ม. ซึ่งจะเห็นได้ว่า I-Beam มีน้ำหนักมากกว่าถึง 32%

  1. ด้านลักษณะรูปร่าง

    แตกต่างของเหล็กทั้ง 2 หน้าตัด คือ ปีก Flange ทั้งบนและล่างของเหล็ก H-beam จะเป็นแผ่นเรียบหนาเท่ากันตลอด ส่วนของเหล็กไอบีม I-beam ทั้งปีกบนและล่างจะเป็นแผ่นเอียง หรือ Taper Flange ซึ่งขนาดหน้าตัดเหล็กที่เท่ากัน I-beam จะมีน้ำหนักต่อเมตรสูงกว่า H-beam เนื่องจากเหล็ก I-beam จะมีความหนาของเหล็ก

ใช้งานแตกต่างกันระหว่างท่อเหล็กและท่อ

ใช้งานแตกต่างกันระหว่างท่อเหล็กและท่อ

         คนมักสับสนเกี่ยวกับการใช้คำอธิบายของท่อเหล็ก เมื่อการใช้เหล็กท่อ นอกจากนี้ คุณต้องไปตามสถานการณ์ว่า จากพื้นที่อื่นของประเทศอื่น บางเรียกว่าท่อที่บางสายอื่น ๆ หลอด จริงสำหรับสิ่งเดียวกัน และเนื่องจากมีลักษณะคล้ายผลิตภัณฑ์เดียวกัน รูปทรง กลวงในกลาง วัสดุในโลหะเหล็กกลม นี่เรากำลังพูดถึงการใช้งานที่แตกต่างกันระหว่างท่อเหล็กและท่อ

ท่อที่มีการใช้กันอย่างแพร่หลายในอุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซ ความดันสูง และร้อนบริการ ระบบการขนส่งของเหลว

เป็นท่อเน้นการทำงานของขนส่งสื่อซึ่งภายใต้ความดันที่อื่น เพื่อให้ท่อเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ต่าง ๆ เช่น tees เสมอข้อศอก และวาล์ว เช่นมาตรฐาน API 5l, 3183, ASTM A106, ASTM A53, ASTM A333, ISO ฯลฯ

หลอดเป็นส่วนใหญ่ความร้อนแลกเปลี่ยนระบบ บริการหม้อไอน้ำ เรือ ชุดหลอด หลอด U อุตสาหกรรมอาหาร เครื่องจักรอะไหล่ฯลฯ ดังนั้น ท่อขนาดเสมอในความคลาดเคลื่อนน้อยกว่าท่อ หลอดมาตรฐานเช่นวัสดุคาร์บอนในท่อ ASTM A179, ASTM A192 และสแตนเลสใน ASTM A213, ASTM A270 เป็นต้น

ขอบคุณข้อมูลจากhttp://th.uvicsteelpipe.com/info/different-applications-between-pipe-tube-24531701.html

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า