google.com, pub-1539147387772263, DIRECT, f08c47fec0942fa0
เสาไวด์แฟรงค์ (Wide Flange Steel) สำหรับสร้างโกดัง

เสาไวด์แฟรงค์ (Wide Flange Steel) สำหรับสร้างโกดัง

โครงสร้างเสาไวด์แฟรงค์ (Wide Flange Steel) สำหรับสร้างโกง สร้างโรงงาน ขนาดใหญ่ดัง

              เนื่องจากเราเป็นการสร้างโกดัง ในระบบ โกดังสำเร็จรูป ทำให้ เราจะทำการออกแบบ และผลิตโครงสร้างเสา ที่โรงงานทำให้เราสามารถที่จะควบคุมคุณภาพให้ได้ตามมาตรฐานวิศวกรรม ทั้งเรื่องการตัด การเชื่อม อีกทั้งยังทำให้เราสามารถใช้วัตถุดิบได้ตามต้นทุนที่เราออกแบบ ทำให้ลูกค้าได้งานที่ดีและราคาถูกการนำไปใช้งาน

รูปภาพที่เกี่ยวข้อง

            เหล็กไวด์แฟรงค์ (Wide Flange Steel) เหมาะสำหรับงานโครงสร้าง ก่อสร้างโรงงาน สร้างโกดังขนาดใหญ่ และงานเชื่อม เหล็กไวด์แฟรงค์ (Wide Flange Steel) จะมีชื่อเรียกคล้ายกับเหล็กเอชบีม คือ ตัวเฮช เหล็กเสา เหล็กปีก เสาบีม โดยเหล็กไวด์แฟรงค์ จัดเป็นเหล็กโครงสร้างรูปพรรณรีดร้อน (Hot rolled structural steel) ตามมาตรฐานอุตสาหกรรม มอก. 1227-2539 แบ่งเป็น Grade SS400, SS490, SS540, SM400, SM490, SM520 มีความยาวให้เลือกตั้งแต่ 1 เมตร, 6 เมตร, 9 เมตร และ 12 เมตร มีลักษณะรูปทรงที่คล้ายกับเหล็กเอชบีม และเหล็กไอบีม แต่เหล็กไวด์แฟรงค์ จะมีความกว้างของแผ่นตรงกลาง มากกว่าปีกทั้ง 2 ข้าง และมีขนาดบางกว่า แต่ยังคงความแข็งแรง ทนทาน สามารถรองรับน้ำหนักได้ดี

รูปภาพที่เกี่ยวข้อง

 

             การนำไปใช้งาน เหล็กไวด์แฟรงค์ (Wide Flange Steel) เหมาะสำหรับงานโครงสร้าง ก่อสร้างอาคาร โรงงานขนาดใหญ่ และงานเชื่อม

ขนาดเหล็กไวด์แฟรงค์

เหล็กไวด์แฟรงค์ ขนาด 150 x 75 x 5 x 7 มม. X 6 ม. น้ำหนัก 84.00 กก./เส้น

เหล็กไวด์แฟรงค์ ขนาด 148 x 100 x 6 x 9 มม. X 6 ม. น้ำหนัก 126.60 กก./เส้น

เหล็กไวด์แฟรงค์ ขนาด 200 x 100 x 5.5 x 8 มม.X 6 ม. น้ำหนัก 127.80 กก./เส้น

เหล็กไวด์แฟรงค์ ขนาด 194 x 150 x 6 x 9 มม. X 6 ม. น้ำหนัก 183.60 กก./เส้น

เหล็กไวด์แฟรงค์ ขนาด 250 x 125 x 6 x 9 มม. X 6 ม. น้ำหนัก 177.60 กก./เส้น

เหล็กไวด์แฟรงค์ ขนาด 300 x 150 x 6.5 x 9 มม. X 6 ม. น้ำหนัก 220.20 กก./เส้น

เหล็กไวด์แฟรงค์ ขนาด 244 x 175 x 7 x 11 มม. X 6 ม. น้ำหนัก 264.60 กก./เส้น

เหล็กไวด์แฟรงค์ ขนาด 350 x 175 x 7 x 11 มม. X 6 ม. น้ำหนัก 297.60 กก./เส้น

เหล็กไวด์แฟรงค์ ขนาด 294 x 200 x 8 x 12 มม. X 6 ม. น้ำหนัก 340.80 กก./เส้น

เหล็กไวด์แฟรงค์ ขนาด 400 x 200 x 8 x 13 มม. X 6 ม. น้ำหนัก 396.00 กก./เส้น

เหล็กไวด์แฟรงค์ ขนาด 450 x 200 x 9 x 14 มม. X 6 ม. น้ำหนัก 456.00 กก./เส้น

เหล็กไวด์แฟรงค์ ขนาด 500 x 200 x 10 x 16 มม. X 6 ม. น้ำหนัก 537.60 กก./เส้น

 

ทางรถไฟ, สะพาน, โครงสร้าง, โลหะ, เหล็ก, การก่อสร้างโลหะ

                 เหล็ก เอชบีม เฮชบีม H-beam ไวด์แฟรงค์ Wide Flange ไอบีม I-beam ต่างกันอย่างไร? เหล็กทั้ง 2 หน้าตัดนี้ มีข้อแตกต่างกันอยู่ 2 ด้าน คือ

                1 ด้านการนำไปใช้งาน

                 เหล็กเอชบีม H-beam ไวด์แฟรงค์ Wide Flange และ จะนำไปใช้ในงานก่อสร้างอาคาร เป็นชิ้นส่วนของ เสา คาน โครงหลังคา ฯลฯ เหล็กไอบีม I-beam จะนิยมนำไปทำรางเคน Crane Girder ที่ไว้ใช้ยกของที่มีน้ำหนักมาก

               2 ด้านลักษณะรูปร่าง

                จุดแตกต่างของเหล็กทั้ง 2 หน้าตัด คือ ปีก Flange ทั้งบนและล่างของเหล็ก H-beam จะเป็นแผ่นเรียบหนาเท่ากันตลอด เป็นรูปตัว H เท่ากันทั้งปีกและส่วนเสา ส่วนเหล็กเสาไวด์แฟรงค์ Wide Flange จะ มีความหนาเท่ากันตลอดเช่นกัน แต่ส่วนปีก จะมีความกว้างไม่เท่ากับความกว้างเสา ส่วนของเหล็กไอบีม I-beam ทั้งปีกบนและล่างจะเป็นแผ่นเอียง หรือ Taper Flange ซึ่งขนาดหน้าตัดเหล็กที่เท่ากัน I-beam จะมีน้ำหนักต่อเมตรสูงกว่า H-beam เนื่องจากเหล็ก I-beam จะมีความหนาของเหล็กมากกว่าเพื่อรองรับแรงกระแทก และการเคลื่อนที่จากรางเครน

สั่งซื้อเหล็กก่อสร้าง ให้ช่วยลดต้นทุน 3 วิธี

สั่งซื้อเหล็กก่อสร้าง ให้ช่วยลดต้นทุน 3 วิธี

            สั่งซื้อเหล็กก่อสร้าง ให้ช่วยลดต้นทุน 3 วิธี ได้รวดเร็ว อีกทั้งยังช่วยลดมลภาวะ และสำคัญที่สุดคือสามารถช่วยลดต้นทุนได้มากกว่าวัสดุอื่นเมื่อเปรียบเทียบกัน ในหลายๆ ประการ ซึ่งแน่นอนว่าสิ่งที่จะช่วยลดต้นทุนได้ดีที่สุดสำหรับการก่อสร้างนั้นคือการวางแผนที่ดีตั้งแต่ขั้นตอนแรกเริ่ม อย่างการเลือกและสั่งซื้อโครงสร้างเหล็ก ที่จะนำไปสู่โครงสร้างที่ตอบโจทย์และค่าใช้จ่ายที่น้อยกว่า

 

วิธีที่ 1 สั่งซื้อเหล็กง่ายๆ ใกล้แค่เอื้อม 

         เพราะ SYS ได้จำหน่ายผ่านตัวแทนจำหน่ายที่มีอยู่ทุกภูมิภาคทั่วประเทศ จึงทำให้ผู้รับเหมาและเจ้าของโครงการสามารถสั่งซื้อเหล็กได้อย่างสะดวกขึ้น ตอบโจทย์กับทุกไซต์งานไม่ว่าจะอยู่ภาคไหน จังหวัดไหน ก็สามารถสั่งกับตัวแทนได้ใกล้ๆ ลดค่าใช้จ่ายการขนส่ง อีกทั้งยังสามารถค้นหาตัวแทนจำหน่ายใกล้ท่านได้อย่างรวดเร็ว ผ่านลิงค์เว็บไซต์ https://www.hbeamconnect.com/th/community/blog/VSCh20191219225529170/ หรือ https://www.syssteel.com/dealer_list/  อีกด้วย สะดวกสบาย ประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายไปได้มากเลยทีเดียว

วิธีที่ 2  วางแผนการจัดส่งร่วมกับวัสดุอื่น 

แน่นอนว่าการก่อสร้างในแต่ละครั้งนอกจากการเลือกใช้โครงสร้างเหล็กแล้ว ก็ยังคงต้องมีวัสดุก่อสร้างอื่นๆ ร่วมด้วย ซึ่งในส่วนของการวางแผนการขนส่งร่วมกับวัสดุอื่นนี้ เป็นการวางแผนในส่วนของการช่วยลดความซ้ำซ้อนในการจัดส่งวัสดุ อย่างการลดเที่ยวการเดินทางของรถขนส่ง และยังประหยัดค่าใช้จ่ายในการขนส่งได้อีกเช่นเดียวกัน เพราะมีการขนวัสดุอื่นมาพร้อมกันด้วย ซึ่งขั้นตอนนี้สามารถขนเหล็กรูปพรรณมาพร้อมกับวัสดุอื่นๆ เช่นเหล็กเส้นที่ต้องใช้ในโครงสร้างฐานรากหรือโครงสร้างพื้นอยู่แล้ว มาพร้อมกันในคราวเดียว จากตัวแทนจำหน่าย ของ SYS ได้ทั่วประเทศ

วิธีที่ 3 เลือกใช้ Customize Length เหล็กความยาวพิเศษ 

เพราะเหล็กความยาวพิเศษ เป็นเหล็กที่ได้ความยาวตามต้องการ จึงทำให้ลดกระบวนการทำงานในหน้างาน แน่นอนว่าก็จะส่งผลให้สามารถช่วยลดค่าเศษเหล็กเหลือทิ้ง ค่าใช้จ่ายในส่วนของ ค่าแรง ทั้งการตัดหรือต่อเหล็ก รวมถึงค่าวัสดุอื่นๆเช่น เพลท หรือลวดเชื่อม ตามไปด้วย ซึ่ง Customize Length มีราคาที่ไม่ได้ต่างจากเหล็กความยาวทั่วไป ที่มีความยาว 6 และ 9 เมตร อีกทั้ง Customize Length ยังสามารถสั่งเพิ่มได้ทุกๆ 10 เซนติเมตร เพิ่มความคุ้มค่าให้กับการลงทุนในวัสดุก่อสร้างด้วย

ขอบคุณข้อมูลhttps://www.hbeamconnect.com/

 

หากต้องการใช้เหล็กเป็นโครงก่อสร้างบ้านด้วยเหล็ก H Beam เหล็กก่อสร้างรูปพรรณทุกชนิด สามารถโทรมาสอบถามข้อสงสัยการใช้ผลิตภัณฑ์เหล็กโครงสร้างเฮชบีม สามารถติดต่อที่ 02 749 1007-14  ได้ในเวลาทำการครับ

qr-code-thanasarn

วัสดุหลังคาโรงรถมีอะไรบ้าง

วัสดุหลังคาโรงรถมีอะไรบ้าง

วัสดุสำหรับมุงหลังคาโรงรถมีหลากหลายประเภทให้เลือกใช้ ซึ่งแต่ละประเภทก็มีความสวยงามและมีคุณสมบัติที่แตกต่างกันออกไป เราจึงควรรู้ถึงจุดเด่นและจุดด้อยของวัสดุแต่ละประเภท เพื่อจะได้เลือกใช้ให้ตรงตามความต้องการได้มากที่สุด

ไม่ว่าจะเป็นบ้านเดี่ยวหรือทาวน์เฮ้าส์ ส่วนที่มักจะถูกติดตั้งเพิ่มหรือต่อเติมออกมาโดยขาดไม่ได้เลยนั่นก็คือ “หลังคาโรงรถ” เพื่อเพิ่มพื้นที่ใช้สอยให้กับบ้าน และกันแดดกันฝนให้กับรถที่เรารัก วัสดุสำหรับทำหลังคาโรงรถนั้นมีหลากหลายให้เลือกใช้ ซึ่งวัสดุแต่ละประเภทก็มีความสวยงามและมีคุณสมบัติที่แตกต่างกันออกไป ดังนี้

วัสดุแบบทึบแสง

1. หลังคาเหล็กรีดลอน (Metal Sheet) ข้อดีคือ ติดตั้งง่าย ราคาถูก มีความทนทานสูง เคลือบสารทนการกัดกร่อนและสนิม อีกทั้งยังดัดโค้งได้ง่าย สามารถทำหลังคากว้างๆ ได้โดยที่มีรอยต่อน้อย จึงไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องการรั่วซึม แต่จะร้อนในช่วงเวลากลางวัน และหากฝนตกจะมีเสียงดัง

textภาพ: มุมมองด้านบนและด้านล่างของหลังคาเหล็กรีดลอนหรือหลังคาเมทัลชีท

textภาพ: หลังคาโรงจอดรถเมทัลชีทแบบโชว์ท้องวัสดุ ดูดิบเท่เข้ากันดีกับงานโครงสร้างเหล็ก

ขอบคุณภาพ: www.q-chang.com

2. หลังคาไวนิล ข้อดีคือ ติดตั้งง่ายเพราะมีลิ้นเข้าล็อกกันระหว่างแผ่น กันรังสี UV และความร้อนได้ดี ช่วยซับเสียง หากฝนตกเสียงจะไม่ดังเท่าเมทัลชีท มีอายุการใช้งานยาวนาน แต่มีสีให้เลือกน้อย และสีอาจจะหมองลงตามอายุการใช้งาน

textภาพ: หลังคาโรงจอดรถไวนิล ดูเรียบร้อย สวยงาม

textภาพ: มุมมองจากด้านบนของหลังคาโรงจอดรถไวนิล

ขอบคุณภาพ: www.q-chang.com

3. uPVC / APVC / SPVC มีลักษณะเป็นแผ่นลอน (รูปลอนใกล้เคียงกับลอนเมทัลชีท) เนื้อวัสดุแข็งแรง เหนียว ดัดโค้งได้ และมีน้ำหนักเบา อีกทั้งยังมีความหนา สี และรูปลอนให้เลือกใช้หลากหลาย เมื่อฝนตกเสียงไม่ดังรบกวนมากนัก แต่เมื่อใช้ไปนานๆ สีของวัสดุอาจเปลี่ยนแปลงไปตามสภาพอากาศ และตัวแผ่นอาจแอ่นตัวตกท้องช้างได้เนื่องจากความร้อน (ขึ้นอยู่กับคุณภาพและความหนาของแต่ละยี่ห้อ)

textภาพ: มุมมองด้านบนของหลังคา uPVC สีเขียว

วัสดุแบบโปร่งแสง

1. อะคริลิก (Acrylic) คุณสมบัติเด่นคือมีความใสเทียบเท่ากระจกแต่น้ำหนักเบากว่ามาก เนื้อเหนียว ดัดโค้งได้ ไม่กรอบหรือแตกลายงา ไม่เป็นฝ้า มีทั้งรุ่นธรรมดาที่กรองแสงแดดได้ระดับหนึ่ง และรุ่นที่กรองรังสี UV และรังสีอินฟาเรดได้มากขึ้น แผ่นโปร่งแสงอะคริลิกราคาจะค่อนข้างสูง และมีข้อควรระวังคือ ต้องติดตั้งตามมาตรฐานตามระยะโครงสร้างที่บริษัทกำหนดเท่านั้น และควรระวังรอยขีดข่วนจากของมีคมช่วงการติดตั้งด้วย

textภาพ: ต่อเติมหลังคาที่จอดรถด้วยหลังคาโปร่งแสงอะคริลิก Shinkolite ช่วยกันแดดกันฝนให้กับรถ และด้วยดีไซน์ที่สวยงาม จึงช่วยเพิ่มลุคที่ทันสมัยให้กับบ้านอีกด้วย

textภาพ: หลังคาโปร่งแสงอะคริลิก Shinkolite ช่วยลดความร้อน กันแดดกันฝน และยังคงให้ความรู้สึกที่โล่ง โปร่ง สบาย

ขอบคุณภาพ: www.q-chang.com

2. ไฟเบอร์กลาส (Fiberglass) มีน้ำหนักเบาและมีความยืดหยุ่น สามารถดัดโค้งได้ มีทั้งแผ่นแบบลอนลูกฟูกและแบบเรียบ มีสีสันหลากหลายทั้งสีใสและสีขุ่น แสงส่องผ่านพอสบายตา บางรุ่นมีการเคลือบด้วยฟิล์มป้องกันรังสี UV เพื่อให้ใช้งานได้ยาวนาน และยังมีรุ่นที่ช่วยป้องกันความร้อนเป็นพิเศษด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ตาม อาจมีเสียงฝนตกกระทบรบกวนอยู่บ้าง และสีอาจซีดจางได้ตามกาลเวลา

textภาพ: เพิ่มร่มเงาให้กับบริเวณที่จอดรถ ด้วยแผ่นโปร่งแสง เอสซีจี ลอนกันสาด ที่มีคุณสมบัติป้องกันรังสี UV และช่วยลดปริมาณแสงที่ส่องผ่านได้ดี แต่ไม่ทำให้พื้นที่นั้นมืดทึบจนเกินไป

textภาพ: แผ่นโปร่งแสง เอสซีจี ลอนกันสาด สีขาว ตัดกับโครงสีดำ ด้วยรูปแบบที่เรียบง่าย จึงเข้ากับบ้านได้ทุกสไตล์

ขอบคุณภาพ: www.q-chang.com

3. กระจกลามิเนต กระจกลามิเนตจะประกอบด้วยกระจก 2 แผ่นประกบกันแบบแซนวิสโดยมีฟิล์มกัน UV อยู่ตรงกลาง หากเกิดการกระแทกจนกระจกแตก กระจกจะเกาะกับชั้นฟิล์ม ไม่ร่วงหล่นลงมาทำอันตราย ข้อดีคือ เวลาฝนตกจะไม่ค่อยมีเสียงรบกวนมากนัก มีหลายสีให้เลือกใช้ เนื้อกระจกใสมองเห็นบรรยากาศภายนอกชัดเจน แต่ก็ควรหมั่นทำความสะอาดเป็นประจำ เพราะจะสกปรกได้ง่าย สิ่งสำคัญคือ ต้องติดตั้งให้ถูกวิธีโดยช่างผู้เชี่ยวชาญโดยเฉพาะ มีโครงสร้างรองรับที่แข็งแรง ใช้ยาแนวซิลิโคนให้ถูกประเภทและมีคุณภาพ

textภาพ: ตัวอย่างหลังคากระจกลามิเนต

4. โพลีคาร์บอเนต (Polycarbonate) จะมีน้ำหนักเบา มีความยืดหยุ่น สามารถขึ้นรูปดัดโค้งได้ตามทรงที่ต้องการ หากนำมามุงหลังคาควรเลือกรุ่นที่ผ่านการเคลือบผิวกันแสง UV ด้วย ปัจจุบันมีหลายเกรด หลายราคา ตามคุณภาพและความแข็งแรง สำหรับแผ่นโพลีคาร์บอเนตแบบลอนลูกฟูกซึ่งมีช่องว่าง และแบบลอนซึ่งมีช่วงที่แต่ละแผ่นซ้อนทับกัน จึงเป็นจุดที่น้ำหรือความชื้นสะสมจนทำให้เกิดตะไคร่และคราบสกปรกได้ง่าย เมื่อใช้งานไปนานๆ พื้นผิวแผ่นจะขุ่นมัว และสีอาจซีดจางไปตามอายุการใช้งาน และด้วยความบางและแข็งของแผ่นจึงมีเสียงดังพอสมควรเมื่อฝนตก

textภาพ: มุมมองจากด้านล่างของหลังคาโพลีคาร์บอเนต

textภาพ: โพลีคาร์บอเนตมีหลายสีสันให้เลือกใช้ และดัดโค้งได้ตามทรงที่ต้องการ

5. uPVC (Unplasticized Polyvinyl Chloride) จะมีคุณสมบัติหมือน uPVC แบบทึบแสงที่กล่าวไปแล้วข้างต้น แต่สำหรับแบบโปร่งแสงจะมีสีขาวขุ่นเพียงสีเดียว และแสงสามารถผ่านได้

textภาพ: ตัวอย่างหลังคาโปร่งแสงวัสดุ uPVC

ขอบคุณข้อมูลจากhttps://scghome.com/

ความแตกต่างระหว่าง โครงหลังคาเหล็ก กับ โครงหลังคาสำเร็จรูป

ความแตกต่างระหว่าง โครงหลังคาเหล็ก กับ โครงหลังคาสำเร็จรูป

โครงหลังคาเหล็ก หรือ โครงหลังคาสำเร็จรูป เป็นโครงหลังคาที่ถูกออกแบบมาเพื่อให้สามารถรองรับการมุงหลังคาวัสดุต่างๆ ได้ทุกประเภท แต่มีข้อแตกต่างบางประการ ไม่ว่าจะเป็น คุณสมบัติ ขั้นตอนการทำงานของช่างที่หน้างาน รวมถึงข้อจำกัดเรื่องรูปทรงหลังคา

การก่อสร้างบ้านสักหนึ่งหลังให้มีความแข็งแรงนั้น สิ่งสำคัญคงหนีไม่พ้นโครงสร้างบ้านที่แข็งแรง ซึ่งนอกจากงานโครงสร้างใต้ดิน งานโครงสร้างบนดินแล้ว งานโครงสร้างหลังคาก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน เพราะเป็นส่วนที่ทำหน้าที่รองรับน้ำหนักวัสดุมุงหลังคา (กระเบื้องหลังคา) และอุปกรณ์ประกอบต่างๆ ทั้งหมด ให้สามารถปกป้องบ้านเราจากแดด ฝน ลมพัดแรงๆ ได้เป็นอย่างดี งานโครงสร้างหลังคาจึงต้องถูกออกแบบคำนวณมาอย่างเหมาะสม ติดตั้งอย่างถูกวิธี เชื่อมยึดอย่างแน่นหนา เพื่อให้มีความแข็งแรงและช่วยลดปัญหาหลังคารั่วซึม ปัจจุบันก็มีโครงสร้างหลังคาที่นิยมและมีความแข็งแรงคือ “โครงหลังคาเหล็ก” และ “โครงหลังคาสำเร็จรูป” ซึ่งมีความแตกต่างกันทั้งเรื่องคุณสมบัติ ลักษณะการใช้งาน ขั้นตอนการทำงานของช่างที่หน้างาน รวมถึงข้อจำกัดเรื่องรูปทรงหลังคา

โครงหลังคาเหล็ก หาซื้อง่าย ตอบโจทย์รูปทรงหลังคาได้หลากหลาย

สำหรับโครงหลังคาเหล็ก ประกอบจากเหล็กรูปพรรณที่มีหน้าตัดต่างๆ ตามที่วิศวกรออกแบบ ไม่ว่าจะเป็น เหล็กกล่อง และเหล็กรูปตัวซี เหล็กรูปพรรณสามารถหาซื้อได้ง่ายตามร้านค้าเหล็กรูปพรรณต่างๆ ขนาดความยาวเหล็กที่ขายตามร้านทั่วไปจะอยู่ที่ 6 เมตรเพื่อให้ขนส่งได้สะดวก หากต้องการความยาวมากกว่านี้ก็สามารถสั่งพิเศษได้ แต่มีข้อควรคำนึงคือเรื่องคุณภาพเหล็ก ควรเลือกเหล็กที่ได้มาตรฐาน หรือที่เรียกว่า “เหล็กเต็ม” ซึ่งมีประสิทธิภาพในการรับแรงตามมาตรฐาน โดยสังเกตที่เครื่องหมายแสดงมาตรฐาน เช่น มอก., ASTM, BSI, JIS ฯลฯ ซึ่งจะระบุไว้ที่เหล็กแต่ละท่อน แต่หากเป็นเหล็กรีดซ้ำ หรือเหล็กที่ผ่านกระบวนการรีไซเคิลมาที่เรียกว่า “เหล็กเบา” ที่แม้จะมีราคาถูกกว่า แต่มีประสิทธิภาพในการรับแรงด้อยกว่าเหล็กเต็มพอสมควรเลย

*การสั่งเหล็กควรมีการคำนวณความยาวให้พอดีตามการใช้งานให้มากที่สุด เพื่อให้เหลือเศษน้อยที่สุด โดยเศษเหล็กที่เหลือสามารถนำไปขายเพื่อเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลต่อไป (ราคาจะถูกลงเกินครึ่ง)

โครงหลังคาเหล็ก

ควรเลือกใช้เหล็กโครงหลังคาที่มีเครื่องหมายรับรองมาตรฐานอุตสาหกรรม

การติดตั้งโครงหลังคาเหล็กจะเป็นลักษณะการติดตั้งที่หน้างานทั้งหมด จึงต้องอาศัยช่างฝีมือที่มีประสบการณ์ โดยก่อนการติดตั้งต้องมีการทาสีกันสนิมให้ทั่วทุกด้านของผิวเหล็กก่อน (หากเป็นเหล็กกล่องต้องใช้วิธีการชุบสีกันสนิมเพื่อให้สีเคลือบผิวทั่วทั้งด้านในและด้านนอก) จากนั้นจึงติดตั้งและเชื่อมเหล็กตามวิธีมาตรฐาน (การเชื่อมเหล็ก ขั้นแรกจะเป็นลักษณะการเชื่อมแต้มเพื่อยึดเหล็กแต่ละท่อนไว้ก่อนเผื่อมีการแก้ไขหรือต้องขยับตำแหน่งบางจุด เมื่อติดตั้งได้ตรงตามแบบแล้ว จากนั้นจึงเชื่อมเต็มเพื่อความแน่นหนาและแข็งแรง) เมื่อติดตั้งและเชื่อมเหล็กทุกจุดเรียบร้อยแล้วก็ทาสีกันสนิมซ้ำอีกรอบ และเน้นบริเวณที่เป็นรอยเชื่อมเหล็กด้วย

โครงหลังคาเหล็ก

การเชื่อมเหล็ก แนะนำให้เชื่อมเต็มแบบที่ได้มาตรฐาน

โครงหลังคาเหล็ก สามารถตอบโจทย์รูปทรงหลังคาได้ค่อนข้างอิสระ จึงเหมาะกับบ้านทุกสไตล์ เพราะคุณสมบัติเรื่องความยืดหยุ่น ดัดโค้งได้ และระยะของโครงสร้างเหล็กที่ยื่นได้ไกลตามความสามารถของเหล็กที่คำนวณไว้ ทำให้สามารถรองรับหลังคาทรงเหลี่ยม ทรงโค้ง รวมถึงรูปแบบหลังคาที่หวือหวาท้าทายได้ตามต้องการ ที่สำคัญควรให้วิศวกรโครงสร้างที่มีใบประกอบวิชาชีพเป็นคนออกแบบคำนวณโครงหลังคาเหล็กให้เพื่อความมีมาตรฐานและความปลอดภัย

บ้านที่มีหลังคาทรงโค้ง; โครงหลังคาเหล็ก

บ้านที่มีหลังคาทรงโค้ง ชายคาที่ยื่นยาว รูปทรงโฉบเฉี่ยวจากโครงสร้างหลังคาเหล็ก

โครงหลังคาสำเร็จรูป ทนสนิม ติดตั้งง่าย ไม่มีเศษเหลือทิ้งที่หน้างาน

โครงหลังคาสำเร็จรูป หรือเรียกกันติดปากว่า “โครงหลังคากัลวาไนซ์” เป็นโครงที่ผลิตจากเหล็กที่มีกำลังดึงสูง และผ่านการเคลือบผิวป้องกันสนิมด้วยอะลูมิเนียมซิงค์ หรือแมกนีเซียมซิงค์ มีราคาสูงกว่าโครงหลังคาเหล็ก สามารถสั่งทำพิเศษให้เหมาะกับสภาพแวดล้อมนั้นๆ ได้ เช่น สำหรับใช้ในพื้นที่ที่อยู่ใกล้ทะเลหรือบริเวณที่มีกรดเกลือสูง เป็นต้น โครงหลังคาสำเร็จรูปจะถูกผลิตและตัดขนาดแต่ละท่อนจากโรงงานให้ตรงตามแบบพอดีที่จะก่อสร้างที่หน้างานจริง แล้วจึงนำมาประกอบที่หน้างานก่อสร้างโดยช่างผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง ซึ่งติดตั้งโดยใช้ตะปูเกลียว (สกรู) ยึดแต่ละท่อนเข้าด้วยกันตามแบบ จะไม่มีการเชื่อมเหล็กหรือเก็บงานกันสนิม จึงติดตั้งได้รวดเร็วและแม่นยำ ถือได้ว่าเป็นกระบวนการที่ช่วยลดปริมาณขยะจากงานก่อสร้างได้เป็นอย่างดี

โครงหลังคาเหล็ก

ชิ้นส่วนโครงหลังคาสำเร็จรูปกัลวาไนซ์ตัดมาจากโรงงาน ติดตั้งโดยการยิงตะปูเกลียว

ด้วยความที่โครงหลังคาสำเร็จรูปมีลักษณะเป็นโครงถัก (โครง Truss) ซึ่งประกอบขึ้นจากชิ้นส่วนของเหล็กกัลวาไนซ์หลายๆ ท่อน ไม่สามารถทำระยะยื่นชายคาได้มากนัก ทำให้มีข้อจำกัดเรื่องรูปทรงหลังคา จึงเหมาะกับหลังคาที่มีรูปทรงที่เราพบเห็นกันได้ทั่วไป (ไม่เหมาะกับรูปทรงหลังคาที่หวือหวาหรือโฉบเฉี่ยว) เช่น หลังคาทรงจั่ว ทรงปั้นหยา ฯลฯ อีกทั้งงานออกแบบโครงหลังคาสำเร็จรูปจะต้องอาศัยวิศวกรที่มีความรู้เฉพาะและต้องใช้บริการจากผู้ผลิตเฉพาะรายเท่านั้น

โครงหลังคาเหล็ก

*โครงหลังคาสำเร็จรูปมีข้อจำกัดเรื่องรูปทรงหลังคา จึงเหมาะกับรูปทรงหลังคาปั้นหยาและหน้าจั่วที่พบเห็นได้ทั่วไป *

สรุปแล้ว ถ้าเทียบโครงหลังคาเหล็กและโครงหลังคาสำเร็จรูป กับงานหลังคารูปทรงเดียวกันวัสดุเดียวกันแล้ว การเลือกใช้โครงหลังคาสำเร็จรูปจะมีราคาโดยรวม (ทั้งค่าของและค่าแรง) สูงกว่าโครงหลังคาเหล็กอยู่พอสมควร แต่สามารถมั่นใจได้ในเรื่องมาตรฐานและการรับประกันผลงานหลังการติดตั้ง ส่วนโครงหลังคาเหล็กนั้นจะสามารถตอบโจทย์งานออกแบบที่หลากหลายกว่า เมื่อมีการรื้อถอนโครงสร้างก็สามารถนำไปขายต่อได้ แต่ต้องควบคุมช่างให้ติดตั้งได้ตามมารตรฐาน ดังนั้น ในการเลือกใช้เราควรพิจารณาถึงความเหมาะสมและตอบโจทย์แต่ละบ้านให้ได้มากที่สุด

 

ขอบคุณข้อมูลจากhttps://scghome.com

เปิดร้านวัสดุก่อสร้างเริ่มยังไง?

เปิดร้านวัสดุก่อสร้างเริ่มยังไง?

ตราบใดที่ประเทศไทยยังมีประชากรเพิ่มและยังมีการก่อสร้างต่อเติม ร้านวัสดุก่อสร้างก็ยังคงเป็นที่ต้องการเสมอ แต่ก่อนที่เราจะเริ่มลงทุนเปิดร้านวัสดุก่อสร้าง เราต้องทำความเข้าใจก่อนว่าเราต้องใช้อะไรบ้าง และขั้นตอนที่เราควรทำมีอะไรบ้าง

ในบทความนี้เราดูกันว่าจะเปิดร้านวัสดุก่อสร้างควรเริ่มยังไง เราควรรู้เรื่องอะไรบ้าง และที่สำคัญ…เปิดร้านวัสดุก่อสร้างยังไงถึงจะกำไร

อยากเปิดร้านวัสดุก่อสร้างควรเริ่มยังไง? ขั้นตอนการเปิดร้านวัสดุก่อสร้าง

คู่มือเริ่มทำธุรกิจหลายที่ก็เขียนแบบคร่าวๆแค่ว่า เลือกทำเลดี ตั้งราคาให้เป็น ใส่ใจกับบริการ แต่ในบทความนี้ผมจะขอลงข้อมูลลึกให้ถูกใจคนที่อยากเริ่มทำธุรกิจขายวัสดุก่อสร้างจริงๆ

#1 ตอบคำถามแรกว่า  ‘อยากขายที่ไหน’ หรือ ‘อยากขายใคร’

ผมเริ่มที่คำถามนี้เพราะผมเข้าใจว่าคนส่วนมากมี ‘ที่หรือทำเลในใจ’ อยู่แล้ว เช่นอยากจะขายวัสดุก่อสร้างในอำเภอนี้เป็นต้น เราอาจจะไม่มีโฉนดที่ดินหรือทำเลที่แน่นอน ณ ตอนนี้ แต่ ‘ทำเลคร่าวๆในใจ’ จะเป็นตัวบอกว่าคนที่คุณอยากขายจะเป็นใคร

ซึ่งก็จะทำให้เกิดคำถามต่อมาก็คือ…คนที่เราอยากขาย หรือ คนที่ผ่านทำเลนี้บ่อยๆ เป็นกลุ่มคนแบบไหน กลุ่มลูกค้าของร้านก่อสร้างมีหลายอย่าง ตั้งแต่ โครงการต่างๆ ผู้ใช้ทั่วไป ผู้รับเหมา ลูกค้าแต่ละชนิดจะมีความต้องการไม่เหมือนกัน

ชนิดลูกค้า นิสัยการซิ้อ
เจ้าของโครงการ/ ผู้ใช้ทั่วไป มีอำนาจในการตัดสินใจสูงสุด มีความรู้สินค้าต่ำ ต้องการบริการจัดส่ง ต้องการความสะดวกสบายและความมั่นใจ
สถาปนิก มีอำนาจในการตัดสินใจปานกลาง มีความรู้สินค้ารองลงมา ต้องการบริการจัดส่ง ต้องการความน่าเชื่อถือ
ผู้รับเหมา / ซับคอนแทรค มีอำนาจในการตัดสินใจในระดับนึง มีความรู้สินค้ามาก ต้องการบริการจัดส่ง แต่ถ้ารีบใช้ของมากก็จะเข้ามารับเอง

ส่วนนี้มีความสำคัญเพราะเราจำเป็นต้องดูว่า สินค้าที่เราขาย ราคาที่เราขาย และบริการของเรามีอะไรบ้าง หากในตอนนี้คุณยังไม่มั่นใจมากก็ไม่เป็นไร สิ่งที่ควรทำก็คือการ ‘ลดความเสี่ยง’ ด้วยการอย่าลงทุนอะไรสูงๆที่ผูกมัดกับตัวเองมาก เช่นถ้าคุณไม่มั่นใจว่าทำเลตรงนี้เหมาะสมก็ให้ทำสัญญาเช่าระยะสั้นพอ หรือถ้าไม่มั่นใจว่ากลุ่มลูกค้าชอบอะไรก็ไม่ต้องสต็อกเยอะเกินไป

#2 การเลือกสินค้าก่อสร้างให้เหมาะสม – ร้านวัสดุก่อสร้างควรมีสินค้าอะไรบ้าง

เราควรมีไอเดียสินค้าที่อยากจะสต็อกไว้คร่าวๆก่อน โดยชนิดสินค้าที่เราเลือกซื้อก็จะขึ้นอยู่กับชนิดสินค้าและชนิดงานก่อสร้างในทำเลของเรา แน่นอนว่ายิ่งเรามีสินค้าเยอะ ยิ่งเรามีสินค้าหลายชนิด เราก็ยิ่งขายได้มากขึ้น…แต่ขายเท่าไรถึงจะคุ้มค่าสต็อกใช่ไหมครับ?

เรื่องการปรับเพิ่มลดสต็อกให้กำไรเป็นสิ่งที่คุณสามารถทำทีหลังได้ ในตอนแรกคุณแค่ต้องเลือกสินค้าช่วงแรกก่อนก็พอ

  • เหล็ก – ราคาแพง มีขนาดใหญ่ หนัก และอายุการใช้งานค่อนข้างต่ำเพราะสามารถขึ้นสนิม และเสื่อมสภาพได้
  • ซีเมนต์ – ควรเน้นการขายโครงการด้วยปริมาณมากๆ เหมาะสำหรับร้านที่สามารถวิ่งเข้าโครงการใหญ่หรือมีเส้นสายเข้างานรัฐได้
  • หลังคา – หลังคาและอุปกรณ์ก่อสร้างตกแต่งภายในเป็นสินค้าที่ขายได้ทีละเยอะๆ แต่ก็มีตัวเลือกเยอะ เช่นหลายสี หลายแบบ
  • ไม้ – ไม้เป็นอีกหนึ่งสินค้าก่อสร้างที่ต้องมีที่เก็บเยอะ นอกจากนั้นยังต้องระวังเรื่องการจัดเก็บโดยเฉพาะฝนและความชื้น
  • อิฐ หิน ทราย – หากอยากจะขายให้ได้จำนวณก็ต้องเน้นโครงการใหญ่เช่นกัน
  • อุปกรณ์ประปา/วัสดุงานไฟฟ้า – ท่อประปาร้อยสายไฟจะมีขนาดยาว สินค้าอุปกรณ์ไฟฟ้าประปาอื่นๆก็มีเยอะเช่นกัน ต้องเลือกสต็อกให้ถูก

วัสดุก่อสร้างมีอีกหลายอย่าง หากคุณเลือกไม่ถูกก็สามารถเริ่มจากรายการข้างบนได้ พอเราเริ่มขายมาซักพักเราก็จะได้ข้อมูลลูกค้ามาบ้างแล้วว่าลูกค้ามีรายการอะไรและขาดอะไรบ้าง อีกหนึ่งขั้นตอนที่เราควรทำก็คือสำรวจร้านค้าในบริเวณและโครงการในบริเวรว่า คู่แข่งขายอะไร คู่แข่งไม่ได้ขายอะไร และลูกค้าเลือกตัดสินใจสินค้าจากอะไรบ้าง (เช่น คุณภาพ แบรนด์ ราคา) ถ้าเราสามารถทำตัวแตกต่างแต่ยังตอบโจทย์ลูกค้าได้ตั้งแต่ตอนนี้ การขายก็จะง่ายขึ้น

ตัวเลือกส่วนมากมีอยู่ระหว่างสินค้ามีแบรนด์ที่ราคาแพงหน่อย กับสินค้าแบรนด์ไม่ดังที่ราคาถูก ส่วนนี้เราก็ต้องดูราคาเทียบกับความต้องการลูกค้า ถ้าเราคิดว่าเราขายไม่เก่ง ทำการตลาดไม่เก่ง เราก็อาจจะเริ่มด้วยสินค้าแบรนด์ดังที่สามารถขายด้วยตัวเองได้ (ข้อแม้ก็คือเราต้องไม่ขายซ้ำแข่งกับร้านใกล้ๆกัน)

ผมเลือกให้สินค้าเป็นข้อที่สองเพราะว่าชนิดของสินค้าและวิธีการขายของเรา (ที่ขึ้นอยู่กับลูกค้า) จะเป็นสิ่งที่บอกว่าการออกแบบร้านเราจะเป็นยังไง

#3 การออกแบบหน้าร้าน แบบศาสตร์และศิลป์

สินค้าแต่ละประเภทมีการจัดร้านไม่เหมือนกัน หากเราต้องเก็บเหล็กเก็บไม้ เราก็ต้องจัดร้านคนละอย่างกับการจัดอุปกรณ์ไฟฟ้าเป็นต้น หากเรามี ‘หน้าร้าน’ ที่ลูกค้าสามารถเข้ามาเลือกซื้อของได้ (ส่วนมากจะเป็นการขายปลีกมากกว่าขายโครงการ) เราก็ต้องจัดร้านให้ลูกค้าเดินดูของง่ายๆ

ยิ่งหน้าร้านเราเดินง่าย ลูกค้าก็จะหาของเจอง่ายขึ้น โอกาสในการขายก็จะเยอะขึ้น หากคุณอยากศึกษาเรื่องการจัดหน้าร้านขายปลีก ให้ดูเซเว่นหรือซูปเปอร์ในห้างเป็นตัวอย่างก็ได้ ทุกครั้งที่คุณเดินเข้าไปซื้อของที่อยากได้ คุณได้หยิบซื้อของที่ ‘ตอนแรกนึกไม่ถึง’ มากแค่ไหน หรือจะออกแบบอิงจากร้านเจ้าใหญ่อย่างไทวัสดุ หรือ โฮมโปรก็ได้

  • ขายสินค้าน้อยชนิดแต่เน้นจำนวน – ถ้าร้านคุณขายแค่ปูนอย่างเดียว หรือขายแค่เหล็กอย่างเดียว คุณอาจจะขายสินค้าให้กับลูกค้าได้ไม่เยอะในช่วยแรก แต่คุณจะสามารถสร้างแบรนด์และจุดต่างให้กับตัวเองได้ เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจถ้าคู่แข่งคุณเยอะ
  • ขายสินค้าหลายชนิดเน้นให้ครบ – ถ้าเรามีสินค้าหลายชนิด โดยเฉพาะสินค้าที่มีหลายรูปแบบ (เช่น อุปกรณ์ไฟฟ้า กระเบื้อง ไม้ต่างๆ) เราก็ต้องมีวิธีนำเสนอให้ลูกค้าเห็นว่าเรามีตัวเลือกเยอะนะ อาจจะด้วยการทำแคตตาล็อกง่ายๆ (ขอผู้ผลิตมาง่ายสุด แต่จะทำเองแบบร้านผ้าก็ได้)

ร้านขายวัสดุก่อสร้างต่างจากร้านขายของอย่างอื่นตรงที่เราต้องดูเรื่องรถวิ่งเข้าวิ่งออกด้วย ไม่ว่าคุณจะมีบริการส่งของให้หรือจะให้ลูกค้าวิ่งเข้ามาเอาของเอง คุณก็ต้องมีที่ให้ลูกค้านำรถกระบะเข้ามา ของชิ้นใหญ่ไว้ข้างหน้าจะได้ไม่ต้องเสียเวลาขนของ ของชิ้นเล็กไว้ด้านหลังจะได้หยิบเข้าหยิบออกได้ง่าย

ส่วนอื่นเช่นการทำระบบการขายอะไรพวกนี้ ไว้ให้มีลูกค้าเข้าร้านก่อนแล้วค่อยคิดทีหลัง

#4 การขายและการตลาด

ผมนำเรื่องการขายและการตลาดรวมกันเพราะเป็นสิ่งที่เจ้าของร้านควรทำควบคู่กันไป ร้านวัสดุก่อสร้างสมัยนี้มีการแข่งขันเยอะ หากเราขาดไปอย่างใดอย่างหนึ่งก็อาจจะขายได้ไม่ดีนัก โดยเฉพาะร้านที่อยู่ในทำเลไม่ดี คนมองเห็นหรือเข้ายาก

  • เว็บไซท์ และ GoogleMyBusiness – จ้างทำเว็บไซท์แบบถูกเพื่อให้เรามีตัวตนอยู่ออนไลน์ ธุรกิจที่มีหน้าร้านควรทำบัญชี GoogleMyBusiness (หรือที่คนเรียกว่า ปักหมุดร้านบน Google) เพื่อให้ลูกค้าหาข้อมูลและหาแผนที่ร้านเราเจอ
  • Line – ลูกค้าประจำ ลูกค้ารับเหมา หรือลูกค้าที่มีรายการสั่งซื้อเยอะๆ ให้พยายามแนะนำให้แอดไลน์เข้ามาให้หมดครับ อุปกรณ์ก่อสร้างรายการเยอะจริงๆ ถ้าจะให้พูดซื้อขายกันปากเปล่าใช้แค่โทรศัพท์อย่างเดียวคงไม่ทันใจ แต่ไลน์กันเสร็จแล้วก็อย่าลืมโทรไปเชคเรื่องการโอนเงินการรับส่งของ
  • เข้าใจลูกค้า – กลับไปดูตารางข้างบนเรื่องความแตกต่างของผู้ใช้สินค้า ถ้ากลุ่มลูกค้าของคุณไม่มีความรู้เรื่องวัสดุก่อสร้างเลย คุณก็จำเป็นต้องฝึกวิธีพูดให้มีศัพท์เทคนิคน้อยที่สุด ยิ่งถ้าคุณแนะนำการใช้งานให้ลูกค้าได้ก็ยิ่งดี
  • ถ้าคุณไม่มีรถส่งของ – ผนแนะนำให้หารถกระบะรับจ้างแถวนั้นดูว่ามีใครอยากรับงานเสริม ช่วยเราส่งของได้ไหม บริการเล็กๆน้อยๆพวกนี้สำคัญสำหรับลูกค้าครับ แต่ถ้าเราไม่ยังไม่อยากลงเงินซื้อรถเองเราก็หา ‘คู่ค้า’ แทนดีกว่า
  • เครื่องรูดบัตร – อุปกรณ์ก่อสร้างราคาแพงครับ ขอธนาคารมาติดไว้ซักเครื่องก็ดี เราจะเก็บลูกค้าเพิ่ม 3% หรือเลือกเจ็บตัวก็แล้วแต่กำไรและความอยากบริการของเราเลย

สิ่งที่เจ้าของร้านหลายคนลืมคิดก็คือ เราสามารถเริ่มขายได้ก่อนที่จะเปิดร้าน…ด้วยการวิ่งหาลูกค้า ถ้าเราไม่ขี้เกียจซะก่อน การวิ่งหาลูกค้าระหว่างที่เรารอร้านสร้างเสร็จก็เป็นตัวเลือกที่ดี เวลาเราเปิดร้านแล้วจะได้รู้สึกคึกคักเพราะมีลูกค้าที่เราสร้างสัมพันธ์ไว้แล้ว

ความแตกต่างของร้านวัสดุก่อสร้างและร้านฮาร์ดแวร์

ในส่วนนี้หลายคนอาจจะรู้กันแล้ว แต่บางคนก็ยังไม่ค่อยชัดเจนเท่าไร ร้านวัสดุก่อสร้างคือร้านขายของเพื่อการก่อสร้างโดยเฉพาะ แต่ร้านฮาร์ดแวร์คือร้านขายเครื่องมือฮาร์ดแวร์ต่างๆ สินค้าที่สองร้านนี้ขายอาจจะมีความคล้ายกันอยู่บ้าง แต่โดยทั่วไปแล้ว ร้านฮาร์ดแวร์จะเน้นการขายสินค้าจำนวนน้อยและเน้นการให้ลูกค้าเดินผ่านเข้ามาซื้อมากกว่า และไม่มีบริการส่งของ

ร้านวัสดุก่อสร้างในสมัยก่อนก็อาจจะเน้นการซื้อป้ายใหญ่ๆโฆษณา เวลาเจ้าของโครงการ หรือผู้รับเหมารีบอยากใช้ของก็จะขับรถวนแถวพื้นที่จนกว่าจะเจอร้านเรา สมัยนี้ถ้าเป็นลูกค้าที่เก่งเทคโนโลยีหน่อยก็อาจจะเข้าเฟสบุ๊คเข้ากูเกิลเป็นต้น ร้านวัสดุก่อสร้างที่อยู่ได้นานส่วนมากจะเป็นเพราะมีลูกค้าประจำเยอะและมีชื่อเสียงดี

แต่เราก็ไม่จำเป็นต้องจำกัดความธุรกิจของเราด้วยความหมายด้านบนก็ได้ กฎหลักของการทำธุรกิจก็คือ ‘อะไรที่กำไรก็ทำไปเถอะ’ เพราะฉะนั้นถ้าคุณขายอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์หรือขายวัสดุก่อสร้างหรือขายสองอย่าง แล้วลูกค้ากลับมาซื้อซ้ำๆ ผมก็คิดว่าคุณมาถูกจุดแล้ว (คุณจะได้โบนัสพิเศษถ้าลูกค้าที่มาซื้อสองอย่างนี้เป็นคนเดียวกัน)

ร้านวัสดุก่อสร้างใช้ทุนเท่าไร

ร้านวัสดุก่อสร้างใช้ทุนตั้งแต่หลักแสนถึงหลักหลายล้านบาท ขึ้นอยู่กับว่าคุณมีที่หรือเปล่า ต้องการสต็อกสินค้ามากแค่ไหน และต้องการมีบริการเสริมให้ลูกค้า เช่นรถส่งของหรือเปล่า

ข้อนี้เป็นข้อที่ตอบยากนิดนึงเพราะ ทำเล ค่าตกแต่งร้าน กับ สต็อกสินค้า เป็นปัจจัยที่ขึ้นอยู่กับหลายอย่าง

  • สินค้า – ค่าสินค้าสามารถเริ่มได้ตั้งแต่หลักแสน (อุปกรณ์ประปาแบบร้านขนาดเล็ก) ไปถึง 4-5 ล้าน (วัสดุก่อสร้างหลายอย่างครบวงจร) จนถึงหลักสิบล้าน (ขายเหล็กขายปูนสำหรับโครงการขนาดใหญ่)
  • ทำเล และ การตกแต่าง – ค่าใช้จ่ายต่อมาก็คือค่าที่ดิน ที่อาจจะตัวเลข 7 หลักเช่นกัน และถ้าสินค้าของคุณเยอะ หน้าร้านและโกดังของคุณก็ต้องมีการตกแต่งต่อเติมเป็นหลักหลายแสนบาท
  • รถ – ต่อมาก็คือรถขนส่ง หากคุณจะออกกระบะ 1 คันก็คงเป็นหลักแสนหลักล้านเช่นกัน
  • พนักงาน – อย่างน้อยคุณก็ควรจะมีพนักงานคุมสต๊อกและคนขับรถ และถ้าหน้าร้านคุณเริ่มยุ่งคุณก็ควรหาพนักงานมาช่วยขายหน้าร้านใ นระหว่างที่คุณกำลังทำอย่างอื่นเพื่อขยายกิจการเพิ่ม

และอีกสิ่งหนึ่งที่ต้องเตรียมไว้ก็คือ ‘เงินหมุน’ หลักการทำธุรกิจที่ดีก็คือควรมีงานเตรียมหมุนไว้อย่างน้อยครึ่งปี (ค่าเช่า เงินเดือนพนักงาน เงินปล่อยเครดิตลูกค้า) แต่ถ้าทำธุรกิจของคุณต้องลงทุนเยอะ เช่นขายเหล็กขายปูน เงินหมุนที่ต้องเตรียมไว้ก็ต้องเยอะมากกว่านี้

ไม่แปลกใจเลยที่ทำไมเจ้าสัวหลายคนถึงเลือกที่จะเปิดร้านวัสดุก่อสร้างให้ลูกตัวเองทำ เพราะการเปิดร้านแบบนี้ใช้ทุนเยอะมาก และตามหลักธุรกิจ ยิ่งทุนคุณหนา โอกาสที่คุณจะล้มก็มีน้อย และโอกาสที่คุณจะเอาชนะคู่แข่งก็มีมากขึ้น

อนาคตร้านวัสดุก่อสร้างดีแค่ไหน?

และคำถามมูลค่าร้อยล้านวันนี้ก็คือ อนาคตร้านวัสดุก่อสร้างดีแค่ไหน?

ถึงแม้ประเทศไทยจะมีการก่อสร้างการต่อเติมอยู่เรื่อย ทุกวันนี้เราจะเห็นได้ว่าร้านวัสดุก่อสร้างเจ้าใหญ่นั้นโตเอาๆ ขยายสาขาเรื่อยๆ แต่ถ้าเราเผลอไปเข้าพันทิปเราก็จะให้ได้ว่าร้านวัสดุก่อสร้างเล็กๆ ‘เริ่มถอดใจ’ กันไปหลายรายแล้ว

อุตสาหกรรมวัสดุก่อสร้างมีการแข่งขันสูง ใช้ความรู้เฉพาะทางเยอะ และเนื่องจากว่ารัฐบาลมีข้อกำหนดมาตรฐานการใช้งานไว้หลายอย่าง (ยกตัวอย่าง มอก. สินค้า เป็นต้น) ทำให้สินค้าหลายชนิดไม่สามารถ ‘สร้างความแตกต่างได้’ อย่างชัดเจน เรียกว่าถ้าเราไม่ได้แข่งขันกันที่รูปแบบสินค้า (เช่น กระเบื้องหลายสีหลายลาย) เราก็ต้องแข่งกันที แบรนด์สินค้า ราคา และการบริการแทน

ปัญหาก็คือธุรกิจในอุตสาหกรรมที่มีมายาวนานอย่างวัสดุก่อสร้างนั้น…ปรับตัวยากพอสมควร ร้านวัสดุก่อสร้างที่เปิดมาหลายสิบปีแล้วก็อาศัยรายได้และกำไรจากลูกค้าประจำส่วนมาก จนกระทั่งถึงวันที่ลูกค้าประจำปิดตัวหรือว่าถูแย่งไปเพราะโดนคู่แข่งตัดราคา ในมุมมองของผม ‘อนาคตของร้านวัสดุก่อสร้าง’ อยู่ที่ความสามารถในการหาลูกค้าใหม่…หรือก็คืออยู่ที่การขายและการตลาดนั้นเหล่ะครับ

ถ้าร้านคุณมีทำเลดี คุณเลือกสินค้าเก่ง ร้านวัสดุก่อสร้างของคุณก็อาจจะทำกำไรได้ แต่ถ้าคุณสามารถมีเซลวิ่งเข้าโครงการใหม่ๆ ทำการตลาดหาผู้รับเหมาใหม่เรื่อยๆ จุดยืนของร้านวัสดุก่อสร้างของคุณก็จะแข็งแรงมากขึ้น

ในความคิดผม ถ้าคุณพร้อมที่ลงเงินทำธุรกิจหลายล้าน และ มีความรู้เส้นสายในวงการที่ต้องใช้วัสดุก่อสร้าง การเปิดร้านวัสดุก่อสร้างก็เป็นทางเลือกที่ดี

ขอบคุณข้อมูลจากhttps://thaiwinner.com/selling-building-materials/

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า