โดย saweang | มิ.ย. 10, 2020 | บทความเกี่ยวกับเหล็ก
ในวงการเหล็ก มีเรื่องที่น่าปวดหัวอยู่เรื่องหนึ่ง คือ ชื่อของเหล็กแต่ละชนิด มักจะระบุกันด้วย “เกรดเหล็ก” แล้วประเด็นก็คือ เกรดเหล็กมีอยู่เยอะแยะหลากหลายมากๆ
ผลที่ตามมา คือ สร้างความสับสนปนสงสัยให้กับคนอ่านมิใช่น้อย
วันนี้ เพจ isteelthai จะมาเล่าให้ฟังว่า เกรดเหล็กแต่ละชื่อ มีความแตกต่างกันอย่างไร
มาดูกันเถอะ
.
.
SS400 คุณสมบัติ : เหล็กแผ่นรีดร้อน สำหรับงานโครงสร้างทั่วๆ ไป
SKD11 คุณสมบัติ : ทำลูกรีดเกลียว ลูกรีดแป๊ป ใบมีดตัดเหล็กแม่พิมพ์ปั้มขึ้นรูป แม่พิมพ์กรรไกร แม่พิมพ์กระดาษ ทนแรงตึงสูง
SKS3 คุณสมบัติ : เหล็กทำแม่พิมพ์งานเย็น พิมพ์ตัด โลหะแผ่นบางและกระดาษ มีความสามารถในการชุบแข็งสูง ทนแรงเสียดสีได้ดี
SKD61 คุณสมบัติ : เหล็กสำหรับทำแม่พิมพ์งานร้อน มีความแข็งแรงที่อุณหภูมิปกติและอุณหภูมิสูงๆทนการสึกหรอดีมาก ทนแรงกระแทกสูง รักษาความแข็งแรงที่สูงได้ดี ใช้ทำแม่พิมพ์อัดขึ้นรูปโลหะได้ดี
P20 คุณสมบัติ : เหล็กแม่พิมพ์พลาสติกคุณภาพสูง ขัดผิวขึ้นเงาได้ดีมาก ทำงานง่าย ทนแรงดัน
S45C คุณสมบัติ : เหล็กคาร์บอนปานกลางเหมาะสำหรับงานพื้นฐานทั่วไป โครงสร้างแม่พิมพ์ และแม่พิมพ์ฉีดพลาสติก ชุบแข็งได้ง่าย ทนการเสียดสีได้ดี มีความแข็งแรงสูง เหมาะสำหรับทำชิ้นส่วนพื้นฐาน หรือโครงสร้างของแม่พิมพ์และงานทั่วๆ ไป
S50C คุณสมบัติ : เหล็กคาร์บอนปานกลางเหมาะสำหรับงานพื้นฐานทั่วไป โครงสร้างแม่พิมพ์ และแม่พิมพ์ฉีดพลาสติก ชุบแข็งได้ง่าย ทนการเสียดสีได้ดี มีความแข็งแรงสูง เหมาะสำหรับทำชิ้นส่วนพื้นฐาน หรือโครงสร้างของแม่พิมพ์และงานทั่วๆ ไป
SCM440 คุณสมบัติ : เหล็กเครื่องมือมีคาร์บอนปานกลาง มีความเหนียว ทนแรงตึงสูง เหมาะสำหรับทำเครื่องมือ น๊อต สกรู เพลา ก้านสูบและชิ้นส่วนรถยนต์
SCM415 คุณสมบัติ : ทนแรงดึงสูง มีความเหนียว เหล็กเครื่องมือ เหมาะที่จะเฟืองรอบจัด และงานที่ต้องการผิวที่แข็งเฉพาะผิว
SCM439,SNCM439 คุณสมบัติ : เหล็กเครื่องมือทนแรงดึงสูง เหมาะสำหรับทำเพลาข้อเหวี่ยง เฟืองแกนพวงมาลัย เพลากลางรถยนต์ และชิ้นส่วนเครื่องจักรที่มีความเครียดสูง
SK5 คุณสมบัติ : เหล็กคาร์บอนสูง ชุบแข็งได้ง่าย ทนทานการเสียดสีได้ดี มีความแข็งแรงสูง มีคุณสมบัติเป็นสปริงสูง
SUP9 คุณสมบัติ : ใช้สำหรับสปริงขึ้นรูปงานร้อน (Hot Format Spring) เช่นเหล็กแผ่นสปริง (Laminated Springs) เหล็กคอยล์ปริง และเหล็กแหนบสปริงที่ใช้ในรถยนต์
.
.
คุณสมบัติเพิ่มเติม :-
SNCM439 SNCM439 4340 1.6582
เป็นเหล็กคาร์บอนปานกลาง มีส่วนผสม Cr, Mo, Ni ชุบแข็งได้หลายวิธี ทนแรงดึงได้สูงกว่า 100 kgf/mm2 ใช้ทำชิ้นส่วนคุณภาพสูง เช่น เพลาขับกำลังสูง เฟือง สกรู ฯลฯ
S45C S45C 1045 CK45
เหล็กคาร์บอนปานกลาง ชุบแข็งได้ง่าย ทนทาน การเสียดสีได้ดี มีความแข็งแรงสูง เหมาะสำหรับ ทำชิ้นส่วนพื้นฐาน หรือโครงสร้างของแม่พิมพ์ และงานทั่วไป
S50C S50C 1050 CK50
เหล็กคาร์บอนปานกลาง ชุบแข็งได้ง่าย ทนทาน การเสียดสีได้ดี มีความแข็งแรงสูง เหมาะสำหรับ ทำชิ้นส่วนพื้นฐาน หรือโครงสร้างของแม่พิมพ์ และงานทั่วไป
เหล็กแผ่นสปริง SK5 SK5 1.1625
เหล็กคาร์บอนสูง ชุบแข็งได้ง่าย ทนทานการ เสียดสีได้ดี มีความแข็งแรงสูง มีคุณสมบัติเป็น สปริงสูง ใช้ทำชิ้นส่วนที่เป็นสปริงในเครื่องจักกล
เหล็กแผ่นรีดร้อน(เหล็กเหนียว) SS400 SS400
เหล็กแผ่นรีดร้อนใช้สำหรับงานโครงสร้างทั่วไป มีคุณสมบัติในการเชื่อมที่ดี สามารถเชื่อมต่อ ได้ง่าย เป็นโครงสร้างต่าง ๆ ใช้ในการก่อสร้าง ตึก ก่อสร้างสะพาน สร้างเรือ หรือใช้ใน อุตสาหกรรมยานยนต์
https://www.isteelthai.com มีเหล็กขายทุกความต้องการ บริการทันใจ ไร้ปัญหา รับประกันคุณภาพและความพึงพอใจ สนใจกรุณาคลิกเบาๆ ==> https://www.isteelthai.com
ขอบคุณข้อมูลจาก https://www.facebook.com/iSteelThai/
โดย saweang | มิ.ย. 10, 2020 | บทความเกี่ยวกับเหล็ก
หล็กทุกชนิดที่ถูกนำมาใช้งานด้านต่างๆ บนโลกใบนี้ ไม่ว่าจะเป็น เหล็ก GA, เหล็ก GL, เหล็ก GI, เหล็ก EG ล้วนมีสมบัติทางเคมีต่างๆ ไม่เหมือนกัน
ทำให้เกิดเป็นคุณสมบัติของเหล็กที่แตกต่างกัน หนึ่งในคุณสมบัติที่สำคัญในการดูสเปคเหล็ก คือ ค่า Tensile
.
.
Tensile อ่านเป็นไทยว่า เทน-ซาย (จริงๆ อ่านว่า เทน-เซิล) คือ ค่าทนแรงดึงของเหล็ก
แปลง่ายๆ ก็คือ เป็นค่าที่บอกว่า เหล็กสามารถรับแรงดึงได้มากที่สุดเท่าไหร่ ต่อจากนั้นความแข็งแรงของวัสดุจะเริ่มลดลง
ปกติจะมาคู่กับค่า Yield Strength หรือ ค่าเค้นคราก หมายถึง จุดที่เหล็กเริ่มเกิดการ เปลี่ยนรูปอย่างถาวร กลับมาเป็นเหมือนเดิมไม่ได้แล้ว
.
.
เหล็กที่มีค่า Tensile มาก ก็ทนแรงดึงได้มาก และส่วนใหญ่ จะเป็นเหล็กเหนียวหรือเหล็กบาง เพราะจะมีความยืดหยุ่นสูง เหมาะกับการทำเหล็กขึ้นรูป เหล็กยืด หรือเหล็กดัดตามแบบ
เหล็กที่มีค่า Tensile น้อย จะทนแรงดึงได้น้อย และส่วนใหญ่จะเป็นเหล็กขนาดใหญ่หรือเหล็กหนา จะได้คุณสมบัติอย่างอื่นกลับมา เช่น ความทนแรงกด ทำให้เป็นเหล็กที่แข็งแรง เหมาะแก่การขึ้นโครงสร้างที่รับน้ำหนักจำนวนมากๆ
.
.
วิธีการอ่านค่า Tensile ในสเปคเหล็ก
ค่า Tensile ของเหล็ก จะบอกอยู่ภายในเกรดเหล็ก
เช่น เหล็ก Coil rolled เกรด SPCC
ตัว C ตัวสุดท้าย คือ ค่า Tensile โดยมีค่าเท่ากับ 270 (ค่ามาตรฐาน)
270 คือ ค่าของแรงที่กระทำต่อพื้นที่ มีหน่วยเป็น N/mm2
ถ้าเป็นตัว D ค่า Tensile เท่ากับ 240
ถ้าเป็นตัว E ค่า Tensile เท่ากับ 200
ถ้าค่า Tensile มีค่ามากหรือน้อยกว่านี้ จะระบุเป็นตัวเลขโดยตรง ส่วนมากจะเป็นเหล็กสเปคพิเศษ เช่น SPC340, SCGA370, SCGA440, SKD11 เป็นต้น
.
.
การจะซื้อเหล็กมาเพื่อใช้งาน ควรทราบว่า ในงานที่เราทำงาน ต้องใช้เหล็กที่มีค่า Tensile เท่าใด
เพราะการเลือกเหล็กที่มีค่า Tensile ไม่ถูกต้องกับงาน อาจจะทำให้เกิดอันตรายแก่โครงสร้างได้
ด้วยความปรารถนาดีจาก www.isteelthai.com
ขอบคุณข้อมูลจากhttps://www.facebook.com/iSteelThai/posts/598754150707145?__tn__=K-R
โดย saweang | มิ.ย. 10, 2020 | ข่าวสาร , บทความเกี่ยวกับเหล็ก
ปัจจุบันกระแสอีคอมเมิชร์กำลังเป็นที่นิยมในหลายๆ ธุรกิจ รวมไปถึงอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ บริษัท ไอ สตีล ไทย จำกัด ได้สร้างแพลตฟอร์มซื้อ-ขายแบบออนไลน์ให้กับอุตสาหกรรมเหล็ก ซึ่งเป็นเว็บไซต์ซื้อ-ขายเหล็กแห่งแรกของไทย นอกจากนี้ยังเปิดโอกาสให้กับทุกบริษัทที่สนใจ สามารถสมัครเป็นสมาชิกฟรี เพื่อใช้งานบนระบบเว็บไซต์ได้ตั้งแต่บัดนี้ เป็นต้นไป
บริษัท ไอ สตีล ไทย จำกัด และเว็บไซต์ www.isteelthai.com ก่อตั้งขึ้นในเดือนกันยายน 2561 โดยมีจุดประสงค์เพื่อจัดทำแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซตัวกลางสำหรับคนขายและคนซื้อเหล็ก โดยทำหน้าที่เป็นแพลตฟอร์มออนไลน์ของบุคคลที่ 3 ซึ่งสร้างขึ้นโดยบริษัทในเครือ Ouyeel International ของบริษัท Baosteel โดยมีเป้าหมายในการก่อตั้งเพื่อตอบสนองความต้องการเปลี่ยนแปลงและยกระดับองค์กรในอนาคต
Chien Yuan Tai ผู้ก่อตั้ง บริษัท ไอ สตีล ไทย จำกัด
ด้วยประสบการณ์กว่า 15 ปีในธุรกิจค้าปลีกเหล็กในประเทศไทย Chien Yuan Tai ผู้ก่อตั้ง บริษัท ไอ สตีล ไทย จำกัด จึงมีความมั่นใจในการก่อตั้งบริษัทที่สอดคล้องกับยุคดิจิทัลสมัยใหม่ เขากล่าวว่า “คนไทยใช้อินเทอร์เน็ตกันมานาน และได้ทำการซื้อสินค้าออนไลน์มากขึ้น ผมจึงมองว่าธุรกิจเหล็กควรจะต้องมีโอกาสทำการซื้อขายบนออนไลน์ได้เช่นเดียวกัน โดยมีเป้าหมายที่จะสร้างแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซเพื่อทำให้การค้าขายเหล็กในประเทศไทยนั้นสะดวกขึ้น โดยการนำคนขายมาเจอกับคนซื้อได้รวดเร็วยิ่งขึ้น รวมทั้งต่อรองราคาได้ง่ายขึ้นและเป็นธรรมมากขึ้นผ่านการใช้งานแพลตฟอร์มออนไลน์แบบ one-stop service ของเรา”
แพลตฟอร์ม ไอ สตีล ไทย ให้บริการครบวงจรครอบคลุมตั้งแต่การซื้อขายเหล็ก ซึ่งรวมถึงการประมูลเหล็กและการบริการค้นหาสินค้าชนิดพิเศษ รวมทั้งการบริการด้านการขนส่ง การชำระเงิน และการดำเนินการเอกสารต่างๆ โดยต้องการยกระดับการทำธุรกิจในแวดวงค้าปลีกเหล็กสำหรับธุรกิจขนาดเล็กและขนาดใหญ่
โดยแพลตฟอร์มออนไลน์นี้ดำเนินการภายใต้รูปแบบ B2B (Business-to-Business) หรือการทำธุรกิจการค้าระหว่างหน่วยงานธุรกิจกับหน่วยธุรกิจ โดยบริษัทฯ จะจัดหาคนซื้อเข้ามาใช้งานแพลตฟอร์ม ดังนั้น สินค้าที่นำมาขายออนไลน์จะต้องดีและมีคุณภาพ ซึ่งลูกค้าสามารถตรวจสอบได้ก่อนทำการสั่งซื้อ
ผู้ก่อตั้งได้อธิบายเพิ่มเติมว่า “การใช้งานแพลตฟอร์มของเรานั้นง่ายและเชื่อถือได้สำหรับทั้งคนซื้อและคนขาย ผู้ที่จะใช้งานจะต้องทำการสมัครสมาชิกก่อนเข้าใช้งานแพลตฟอร์มออนไลน์ของเรา และทุกบริษัทที่ลงทะเบียนกับเว็บไซต์ของเราต้องมีใบทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภ.พ. 20) เครื่องหมายรับรองการจดทะเบียนผู้ประกอบการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (DBD Verification) รวมทั้งเอกสารทางการเงิน และเอกสารสำคัญที่จำเป็นอื่นๆ ด้วยเช่นกัน”
ทั้งนี้ บริษัท ไอ สตีล ไทย จำกัด ดำเนินการธุรกิจออนไลน์โดยยึดหลัก 3Cs ได้แก่ Complex Customer และ Cash ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญในการดำเนินธุรกิจของบริษัท โดย Complex ให้ความสำคัญกับการมอบการบริการสู่ตลาดที่ซับซ้อน ตลอดจนแก้ปัญหาที่ซับซ้อนและกินเวลายาวนาน เช่น การขนส่ง และการจัดการเอกสารต่างๆ สำหรับธุรกิจเหล็กขนาดเล็กและขนาดใหญ่
ในขณะที่ Customer มุ่งเน้นการให้บริการผู้ใช้บริการเป็นสำคัญ โดย ไอ สตีล ไทย มุ่งมั่นต้องการให้ผู้ใช้บริการได้รับประสบการณ์ที่ดีทุกครั้งที่เข้ามาใช้งานแพลตฟอร์มของบริษัทฯ ส่วน Cash หมายถึงบริการทางการเงินที่ปลอดภัยและเชื่อถือได้ โดยมีช่องทางให้บริการทางการเงินที่หลากหลาย เพื่อรองรับทั้งอุตสาหกรรมเหล็กขนาดเล็กไปจนถึงขนาดใหญ่ อีกทั้งยังรองรับการชำระเงินสดหรือสินเชื่อ ด้วยระบบที่มีความมั่นคงและมีความเป็นระเบียบ มีสภาพคล่องทางการเงินทางธุรกิจโดยธนาคารชั้นนำในประเทศไทย
Chien Yuan Tai ผู้ก่อตั้งบริษัท ไอ สตีล ไทย จำกัด
โดย Chien Yuan Tai ได้อธิบายเพิ่มเติมว่า “หลัก 3Cs เป็นเป้าหมายที่เราต้องการจะบรรลุให้ได้ เรามุ่งมั่นที่จะสร้างคอมเพล็กซ์อุตสาหกรรมโดยการนำเสนอทางออกแบบครบวงจรสำหรับอุตสาหกรรมเหล็ก เราเชื่อว่าหัวใจหลักของการบริการที่ดีเกิดจากความพึงพอใจของลูกค้า เราจึงได้ให้ความสำคัญกับลูกค้าเป็นหลัก ลูกค้าคือศูนย์กลางของธุรกิจเรา นอกเหนือจากนี้ เรายังให้บริการทางการเงินผ่านการรวมตัวกันของอุตสาหกรรมเหล็กและการจัดหาเงินทุนเพื่อให้เกิดกระแสเงินสดที่ดี และส่งเสริมการพัฒนาสภาพแวดล้อมทางการเงินของทั้งอุตสาหกรรมอีกด้วย”
จากข้อมูลของ ไอ สตีล ไทย ประเทศไทยใช้เหล็กอยู่ที่ 17 ล้านตันต่อปี โดยบริษัทฯ ได้ตั้งเป้าที่จะปันส่วนการใช้เหล็กของทั้งประเทศที่ 10% ของตลาดทั้งหมด หรือประมาณ 1.7 ล้านตันต่อปี ภายในระยะเวลา 3 ปีนอกจากนี้ แพลตฟอร์มออนไลน์ของ ไอ สตีล ไทย ยังรองรับการระบายสินค้าค้างสต็อกอย่างมีประสิทธิภาพ ตลอดจนเพิ่มมูลค่าของสินค้าในตลาดด้วยการบริการที่ครบวงจร
Chien Yuan Tai กล่าวว่า “ตอนนี้มีบริษัทค้าเหล็กที่ใช้งานบนแพลตฟอร์มของเราประมาณ 50 ราย และเราเริ่มมีสินค้าขายอยู่ในออนไลน์ รวมทั้งมีคนสนใจเยี่ยมชมเว็บไซต์อยู่ที่ประมาณ 50-85 คนต่อวัน อีกทั้งยังมีการซื้อขายเหล็กต่อวันอยู่ที่ประมาณ 200-400 ตันอีกด้วย”
ตลอดระยะเวลา 6 เดือนที่ผ่านมา แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ ไอ สตีล ไทย ได้รับผลตอบรับที่ดีจากลูกค้าซึ่งมีผลประกอบการการซื้อขายที่น่าพอใจ และยังมีจำนวนผู้ใช้เพิ่มขึ้นเช่นเดียวกัน
ผู้ก่อตั้งจึงได้ยกตัวอย่างความสำเร็จของ ไอ สตีล ไทย ในปี 2561 ในฐานะแพลตฟอร์ม one-stop service โดยเล่าว่า “เมื่อปลายปี 2561 มีบริษัทรถยนต์ยี่ห้อหนึ่งติดต่อเรามาเพื่อให้ช่วยตามหาเหล็ก โดยปกติแล้ว การสั่งเหล็กต้องสั่งล่วงหน้า 75-90 วันเพื่อให้ผู้ผลิตทำการผลิตเหล็ก แต่เราสามารถช่วยหาเหล็กตามรายละเอียดที่ลูกค้าต้องการ และส่งสินค้าให้ลูกค้าผ่านทางเครื่องบินมาถึงประเทศไทยได้ภายใน 7 วัน”
“ผมอยากเชิญชวนให้ทุกคนลองใช้แพลตฟอร์มของเราดูก่อน แพลตฟอร์มนี้สร้างขึ้นมาเพื่อให้การทำงานง่ายและสะดวกขึ้น ผมหวังว่าทุกคนในธุรกิจค้าปลีกเหล็กจะเปิดใจกว้าง และเต็มใจที่จะยอมรับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับอุตสาหกรรมเหล็ก เพื่อที่จะเติบโตไปสู่อนาคตได้โดยดี และสร้างโอกาสทางการค้าใหม่ๆ ให้กับธุรกิจ เพื่อบรรลุเป้าหมายในการแบ่งปันผลประโยชน์ของอุตสาหกรรมเหล็กร่วมกัน” Chien Yuan Tai กล่าวสรุปถึงอนาคตธุรกิจเหล็กในแง่บวกอย่างมั่นใจ
สั่งซื้อเหล็กหรือระบายสินค้าในสต็อกได้สะดวกยิ่งขึ้นเพียงปลายนิ้ว ที่เว็บไซต์ https://www.isteelthai.com
ขอบคุณข้อมูลจากhttps://www.posttoday.com/economy/news/581717
โดย saweang | มิ.ย. 8, 2020 | บทความเกี่ยวกับเหล็ก
วันก่อนมีโอกาสไปฟังเสวนา “ปลูกบ้านด้วยโครงสร้างปูน หรือโครงสร้างเหล็ก เรื่องไม่เล็กที่ต้องเรียนรู้และตัดสินใจ” ที่ SCG Experience จัด วิทยากร 2 ท่านที่มาให้ความรู้ คุณศักดา ประสานไทย จากฝั่งของบ้านโครงสร้างคอนกรีตเสริมเหล็ก และคุณสุทธิสร สุทธิไชยากุล จากบริษัท Siam Yamato steel ตัวแทนจากฝั่งบ้านโครงสร้างเหล็ก มาถกกันในหัวข้อที่ว่าความแตกต่างระหว่างบ้านโครงสร้างคอนกรีตเสริมเหล็กกับบ้านโครงสร้างเหล็ก
วิทยากรทั้งสองท่านก็สรุปประเด็นออกมาคล้ายคลึงกับเรื่องที่ AKANEK เคยนำเสนอไปแล้ว โครงสร้างคอนกรีตเสริมเหล็ก กับโครงสร้างเหล็ก อะไรเหมาะกับบ้านคุณ แต่ก็จะมีเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยที่เกี่ยวกับฝั่งของของบ้านโครงสร้างเหล็กที่น่าสนใจ ก็เลยเก็บมาฝากกันเล็กๆ น้อยๆ สำหรับคนที่กำลังเก็บข้อมูลเกี่ยวกับบ้านโครงสร้างเหล็กกันอยู่
เหล็กเหมือนกัน แต่ใช้ต่างกัน
ไม่ว่าคุณจะเลือกสร้างบ้านด้วยโครงสร้างคอนกรีตเสริมเหล็กหรือบ้านโครงสร้างเหล็ก ก็ต้องใช้เหล็กเหมือนกัน คุณศักดา วิทยากรจากฝั่งบ้านโครงสร้างคอนกรีตอธิบายให้ฟังว่า จริงๆ แล้วตัวคอนกรีตแข็งแรงอยู่แล้ว รับแรงอัด แรงกดได้ดี แต่ขาดความยืดหยุ่นตัว บ้านที่สร้างด้วยคอนกรีตอย่างเดียว ถ้าเจอแผ่นดินไหวหนักๆ ลมพายุแรงๆ บ้านก็อาจจะถล่มลงมาได้เพราะรับแรงสั่นไหวไม่ได้ จำเป็นต้องเอาเหล็กที่มีคุณสมบัติยืดหยุ่นตัวสูงเข้ามาเสริม เพื่อให้ตัวคอนกรีตมีการยืดหยุ่นตัวได้ดีขึ้น (เคยเห็นคุณสมบัติความยืดหยุ่นตัวสูงของเหล็กจากสารคดีที่เกี่ยวกับวิศวกรรมการออกแบบสะพานเหล็กหลายๆ แห่ง เวลาที่มีลมแรงๆ พัดมาสะพานจะมีการบิดตัวหรือแกว่งไปมาจนน่ากลัว แต่สุดท้ายสะพานก็ไม่ได้หักหรือพังถล่มลงมา)
เหล็กที่เราจะเห็นบ่อยๆ ตามงานคอนกรีตทั่วไป คือเหล็กที่ใช้สำหรับการเทพื้นปูน ซึ่งจะเป็นเหล็กเส้น หรือเหล็กข้ออ้อย เห็นกันบ่อยในงานเทพื้นที่คนงานจะนั่งผูกเหล็กตะแกรง วางบนลูกปูนแล้วเทคอนกรีตลงไป
ส่วนเหล็กที่ใช้ในงานโครงสร้างที่เป็นคอนกรีตก็จะใช้เหล็กข้ออ้อยเช่นเดียวกัน โดยจะใช้ในงานหล่อเสาที่จะใส่เหล็กข้ออ้อยลงในแบบหล่อเสาก่อนที่จะเทคอนกรีตตามไป
สำหรับงานโครงสร้างที่เป็นโครงสร้างเหล็กทั้งหมดโดยไม่ใช้คอนกรีตเลย จะใช้เหล็กรูปพรรณ ที่นอกจากจะมีความยืดหยุ่นแล้วยังมีความแข็งแรงสามารถรับน้ำหนักได้มากมีขนาดใหญ่ สิ่งก่อสร้างที่ใช้เหล็กเป็นตัวโครงสร้างรับน้ำหนักก็มีตั้งแต่อาคารสูงอย่างตึก world trade center ของอเมริกา (ตอนนี้ไม่อยู่แล้ว) สะพาน Golden Gate Bridge สะพานพุทธฯ จนกระทั่งถึงบ้านอยู่อาศัย เหล็กรูปพรรณในงานโครงสร้างพวกนี้ก็มีอยู่หลายชนิดด้วยกัน ตั้งแต่ H Beam, I Beam, cut beam, channel, angle, เป็นต้น
แต่ถ้าตัดให้เหลือเฉพาะงานบ้านแล้ว ก็จะเหลือเหล็กที่ใช้อยู่ 2 ประเภท คือ เหล็ก H beam กับเหล็ก I beam ที่ใช้กับงานเสา-คาน (วิทยากรบอกว่า คนจะสับสนกับการเลือกใช้เหล็ก 2 ประเภทนี้กันมากที่สุด แต่เดี๋ยวค่อยมาดูกันว่า เหล็ก 2 ประเภทนี้ มันใช้งานต่างกันอย่างไร) ในงานวันนั้น นอกจากเหล็กที่ใช้ในงานก่อสร้างบ้านแล้ว วิทยากรที่มาให้ความรู้ยังแนะนำให้รู้จักกับเหล็กชนิดอื่นๆ เพิ่มเติมเข้ามาด้วย เห็นว่ารู้เอาไว้ไม่เสียหาย ก็เลยถ่ายภาพเก็บมาให้ดูเป็นตัวอย่าง
H beam เหล็กที่มองจากหน้าตัดแล้วจะเป็นรูปตัว เอช ตั้งตะแคง จะใช้ทำเสา คานในงานบ้านพักอาศัย หรืองานก่อสร้างขนาดเล็ก (ปีกเหล็กจะยาวและเป็นเส้นตรง)
I beam มองจากหน้าตัด เหล็กจะเป็นรูปตัว ไอ นอกจากแข็งแรงทนทานแล้ว ยังรับแรงกระแทกได้ดี จึงนิยมนำไปทำเป็นรางวิ่งเครนยกของตามโรงงานอุตสาหกรรม
Cut beam ใช้ในงานโครงหลังคาอาคารขนาดใหญ่ ห้างสรรพสินค้า ศูนย์การประชุม หรืองานก่อสร้างขนาดใหญ่
Channel หน้าตัดเป็นรูปตัวซี ส่วนใหญ่จะใช้กับงานแม่บันได
Angle หน้าตัดจะเป็นรูปตัว แอล ใช้กับงานเสาสัญญาณสูง เช่น เสาสัญญาณโทรศัพท์ เสาวิทยุสื่อสารขนาดใหญ่
Sheet pile เอาไว้ใช้งานกันดินไหล ตามโครงการก่อสร้างที่อยู่อาศัยทั่วไป เขาจะใช้มือตักรถแบคโฮลกดเหล็ก sheet pileปักลงไปในดิน เพื่อเป็นการกันดินรอบๆ โครงการไม่ให้สไลด์ออก หรือเมื่อคราวน้ำท่วมใหญ่ครั้งที่แล้วเขาก็เอาเหล็กประเภทนี้ไปปักกันดินริมตลิ่งแม่น้ำกันน้ำกัดเซาะ
H beam หรือ I beam ?
เรื่องการนำไปใช้ ทำความเข้าใจก่อนว่า เหล็ก H beam กับ I beam นั้นเขาผลิตขึ้นมาเพื่อการใช้งานที่ต่างกัน H beam จะใช้กับงานเสา งานคานสำหรับโครงสร้างขนาดย่อมๆ เช่น งานบ้าน หรืออาคารขนาดเล็ก เพราะว่าให้ในเรื่องความแข็งแรง รับน้ำหนักได้ดี แต่อาจจะรับแรงกระแทกได้ไม่มากนัก ต่างกับเหล็ก I beam ที่เขาผลิตขึ้นมาเพื่อให้รับแรงกระแทกหนักๆ โหดๆ อย่างรางเลื่อนตัวเครนยกของหนักๆ ตามโรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ หรือโครงสร้างขนาดใหญ่
แล้วถ้าเจ้าของบ้านจะเลือกเหล็ก I beam มาสร้างบ้านจะได้มั้ย? อันนี้ก็ต้องลองถามตัวเองดูว่า จำเป็นมั้ย ที่เราต้องใช้เหล็กที่รับแรงกระแทกหนักๆ โหดๆ มาสร้างบ้าน? มุมของคุณสุทธิสร วิศวกรโยธาที่จับงานเหล็กมานาน เห็นว่า เหล็ก H beam ก็แข็งแรงเพียงพอแล้วสำหรับการสร้างบ้าน เพราะว่าบ้านของเราคงไม่เจอแรงกระแทกหนักๆ อะไรมากมาย แต่ถ้าเจ้าของจะรู้สึกว่าอยากมั่นใจอีกสักนิดว่า บ้านโครงสร้างเหล็กที่สร้างไว้จะคงทน แข็งแรง เกิดแผ่นดินไหว เกิดพายุพัดมาไม่ถล่มลงมาแน่ๆ จะขอเลือกใช้เหล็ก I beam เพื่อความอุ่นใจขึ้นมาอีกนิดก็สามารถทำได้
ด้วยความที่ I beam รับแรงกระแทกหนักๆ ได้ดีกว่า ราคาก็จะแพงกว่าตามไปด้วย ถ้าเจ้าของบ้านที่จะสร้างบ้านด้วยโครงสร้างเหล็กแล้วรู้สึกว่าทำไมราคาเหล็กที่ผู้รับเหมาประเมินมาสูงกว่าที่ตั้งเอาไว้ อาจจะลองสอบถามดูว่า เหล็กที่ใช้เป็นเหล็ก I beam หรือ H beam. เพราะว่าผู้รับเหมาที่ไม่ชำนาญงานโครงสร้างเหล็กอาจจะประเมินราคาด้วยเหล็ก I beam ก็เป็นได้
แพงวัสดุ แต่ลดค่าใช้จ่ายอื่น
คุณศักดาให้ตัวเลขค่าก่อสร้างบ้านกรณีบ้านโครงสร้างคอนกรีตเสริมเหล็ก (หลังปรับค่าแรง 300บาท)ว่า ตอนนี้ ราคาต่อสร้างบ้าน ตอนนี้จะอยู่ราวๆ 17,000-30,000บ./ตร.ม. แบ่งเป็น 30% (งานโครงสร้างใต้ดิน+งานโครงสร้างบนดิน) กับอีก 70% (งานตกแต่ง ความสวยงาม)
ส่วนบ้านโครงสร้างเหล็ก ค่าวัสดุในส่วนของงานโครงสร้างใต้ดิน+งานโครงสร้างบนดิน เฉลี่ยแล้วจะสูงขึ้นกว่าวัสดุคอนกรีตประมาณ 30% เพราะเหล็กเป็นวัตถุดิบที่มีราคา แต่เจ้าของบ้านก็จะไปประยัดค่าใช้จ่ายในส่วนอื่นๆ เพราะเหล็กเป็นวัสดุก่อสร้างที่ติดตั้งง่าย พึ่งพาแรงงานน้อยลงเพราะเอาเครื่องจักรมาทำงานแทน ใช้เสาเข็มน้อยลงเพราะเหล็กมีน้ำหนักเบา ใช้เวลาก่อสร้างเร็วขึ้นเพราะเป็นการประกอบติดตั้ง เพราะฉะนั้นค่าวัสดุที่เพิ่มขึ้นนี้ ก็อาจจะทำให้ค่าก่อสร้างของบ้านทั้งหลังสูงขึ้นไม่เกิน 10% ก็เป็นไปได้
ตรงนี้เจ้าของบ้านก็ต้องลองเอาไปพิจารณากันเอง คิดเล่นๆ ว่าในอีก 5 ปี 10 ปีข้างหน้า ถ้าค่าแรงปรับจาก 300 เป็น 500 หรือ 1,000บ. การสร้างบ้านด้วยโครงสร้างเหล็กก็อาจจะคุ้มกว่าบ้านโครงสร้างคอนกรีตเสริมเหล็กก็ได้ (อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับบ้านโครงสร้างเหล็กได้ที่นี่ บ้านโครงสร้างเหล็ก ทางเลือกที่เป็นไปได้สำหรับยุคค่าแรงแพง)
หลายคนคุ้นเคยกับการอยู่บ้านโครงสร้างที่เป็นปูน เป็นคอนกรีตมาตั้งแต่ไหนแต่ไร แต่เมื่อราคาบ้านสูงขึั้น จะด้วยช่างหายาก วัสดุแพงขึ้น ค่าแรงแพงขึ้นหรือปัจจัยอื่นๆ แต่ละคนก็ต้องมองหาทางออกที่เหมาะกับตัวเองกัน บ้านโครงสร้างเหล็กก็ถือว่าเป็นทางเลือกหนึ่งที่อาจจะเก็บไปพิจารณา หรือบ้านไทยนาโน ของอาจารย์ชาติชาย ที่เปลี่ยนแปลงวัสดุก่อสร้าง วิธีก่อสร้าง แนวคิดการก่อสร้างใหม่เพื่อให้ได้บ้านที่มีคุณภาพในราคาที่เจ้าของบ้านจ่ายไหว หรือบ้านknock-down ของบ้านและสวน แต่ไม่ว่าจะเลือกทางเลือกไหน ถ้าเราได้ผู้ออกแบบที่ดี (สถาปนิกและวิศวกร) ได้แบบบ้านที่ดี แข็งแรง ปลอดภัย ได้ผู้รับเหมาที่ชำนาญในงานก่อสร้าง ก่อสร้างได้ถูกต้องตามแบบ และเทคนิคก่อสร้างที่วิศวกรออกแบบมา และสุดท้าย ได้ผู้ตรวจสอบที่ดีเข้ามาช่วยเราตรวจสอบคุณภาพงานก่อสร้างอีกครั้ง เราก็จะได้บ้านที่ให้ทั้งความมั่นคง แข็งแรง ปลอดภัย สวยงาม คุ้มค่ากับเงินที่จ่ายไป
ขอบคุณข้อมูลจากhttp://community.akanek.com/th/content/
โดย saweang | มิ.ย. 5, 2020 | ข่าวอุตสาหกรรมเหล็ก , บทความเกี่ยวกับเหล็ก
ประกาศใช้อย่างเป็นทางการสำหรับมาตรฐานเหล็กเส้นเสริมคอนกรีต เหล็กเส้นกลม “มอก.20-2559” และ เหล็กเส้นข้ออ้อย “มอก.24-2559” หลังจากมีการปรับปรุงเนื้อหาและข้อบังคับ หวังสร้างความปลอดภัยต่อผู้บริโภค
ตามที่สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) ได้มีการปรับปรุงมาตรฐานเหล็กเส้นก่อสร้างใหม่ จากเดิมเหล็กเส้นกลม มอก. ที่ 20-2543
และเหล็กข้ออ้อย มอก. ที่ 24-2548 เป็น เหล็กเส้นกลม มอก. ที่ 20-2559 และเหล็กข้ออ้อย มอก.ที่ 24-2559 ซึ่งมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 18 มิ.ย. 2561 ทั้งนี้เพื่อเพิ่มความมั่นใจในการเลือกใช้เหล็กเส้นก่อสร้างและเพื่อความปลอดภัยของผู้บริโภค โดยมีเนื้อหาที่สำคัญดังนี้
การเพิ่มการตรวจสอบและควบคุมค่าเคมีในน้ำเหล็กอย่างเข้มงวดโดยเพิ่มค่าเคมีที่ต้องตรวจสอบและควบคุมจาก 5 ชนิดเป็น 19 ชนิด
เพิ่มชื่อผู้นำเข้าเหล็กโดยการปั้มตัวนูนบนเนื้อเหล็ก เพื่อให้สามารถติดต่อโรงงานผู้ผลิตได้กรณีที่เกิดปัญหาการใช้งาน
บังคับให้ผู้ผลิตแสดงชนิดของเตาหลอมเหล็ก (Billet) ที่ใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิต โดยการปั้มตัวนูนบนเนื้อเหล็กทุกเส้น เช่น OH, BO, EF และ IF
เมื่อกล่าวถึงชนิดของเตาที่ใช้หลอมเหล็กในประเทศไทยมีเพียง 2 ชนิด ได้แก่
Induction Furnace (IF) เป็นเตาที่ใช้กระแสไฟฟ้าเหนี่ยวนำเพื่อหลอมเหล็ก ซึ่งเป็นเตาที่เพิ่มเข้ามาในมาตรฐานฉบับนี้
Electric Arc Furnace (EF) เป็นเตาหลอมเหล็กด้วยวิธีการอาร์คไฟฟ้า
บริษัท มิลล์คอน สตีล จำกัด (มหาชน) นับเป็นหนึ่งในผู้ผลิตที่มีโรงหลอมเหล็กโดยใช้เทคโนโลยี Electric Arc Furnace (EF)
จุดเด่นของเตาชนิดนี้คือ สามารถขจัดสารปนเปื้อนในเนื้อเหล็กได้ดีทำให้เหล็กมีความบริสุทธิ์ สามารถควบคุมค่าเคมีที่ส่งผลต่อคุณภาพและความแข็งแรงของเหล็กได้ดี อีกทั้งยังเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเนื่องจากปล่อยมลพิษน้อยกว่า
รวมถึงใช้พลังงานในการหลอมน้อยกว่าเตาหลอมเหล็กบางชนิด ดังนั้นผู้บริโภคที่ใช้เหล็ก EF มั่นใจได้ว่าเป็นเหล็กที่มีคุณภาพ แข็งแรง ทนทาน
ขอบคุณข้อมูลจากhttp://www.millconsteel.com/