โดย saweang | มิ.ย. 5, 2020 | ข่าวอุตสาหกรรมเหล็ก, บทความเกี่ยวกับเหล็ก
Facebook Page ไอออนมิลล์ คนรักเหล็ก ของมิลล์คอน สตีล บริษัทที่ก่อตั้งโดยคุณสิทธิชัย ลีสวัสดิ์ตระกูล ได้มาอธิบายคำว่า STEEL กับ IRON ว่าแตกต่างกันอย่างไร เพราะหลายคนก็คงจะรู้จักเหล็กกันอยู่แล้ว แต่ไม่รู้ว่าในคำภาษาอังกฤษนั้นมันแตกต่างในการใช้อย่างไร
คำว่า STEEL คือ
Steel ตามพจนานุกรมเป็นเหล็กกล้าที่เกิดจากโลหะที่ผสมแร่หลายชนิด โดยส่วนมากสารประกอบของเหล็กกล้าจะมี เหล็ก (Fe) , คาร์บอน (C) , แมงกานีส (Mn) , ซิลิคอน (Si) เป็นหลัก และเพราะมาจากการผสมกันของแร่เหล็กหลายชนิด ทำให้เหล็กกล้ามีคุณสมบัติเยอะและแตกต่างจาก Iron เพราะเหล็กกล้าสามารถผสมแร่อื่นให้ม่ีความต้องการได้ ไม่ว่าจะเป็นความทนทาน การกันสนิม ความยืดหยุ่น และความแข็งแรง
คำว่า IRON คือ
ตามพจนานุกรม เป็นเหล็กในกลุ่มโลหะ สามารถเจอได้ตามธรรมชาติ โดยส่วนมากแร่เหล็กจะผสมหรือปนอยู่กับวัตถุจำพวกเห็นเป็นส่วนมาก แต่ก็สามารถพบได้โลหะอื่นได้เช่นกัน โดยการแปลแร่เหล็กเป็นเหล็กกล้าต้องผ่านกระบวนการหลายขั้นตอน โดยขั้นตอนหลักคือการนำแร่เหล็กมาถลังด้วยความร้อนสูง เพื่อขัดแร่ที่ไม่ต้องการออกจากแร่เหล็ก

ความจริงแล้วยังมีความแตกต่างมากกว่านั้นอีกหลายอย่าง
- เหล็กกล้าสามารถปรับคุณสมบัติได้ โดยการปรับคุณสมบัติของเล็กให้ตรงตามสเปคของแต่ละประเทศเพื่อที่จะส่งออกไปได้ถูกต้องตามกฎหมายมีความสำคัญมาก
- เหล็กกล้าที่ผ่านคุณสมบัติจะมีความยืดหยุ่น และรับน้ำหนักได้ดีกว่าอีกทั้งยังสามารถรับกับแรงเสียดทานที่จะเกิดขึ้น
- เหล็กกล้าขึ้นจะสามารถขึ้นรูปตามการใช้งานได้อย่างเหมาะสม เนื่องด้วยคุณสมบัติความยืดหยุ่นของเหล็กกล้าที่ดีกว่าส่งผลให้ เหล็กกล้าสามารถนำไปขึ้นรูปเพื่อให้ตรงตามการใช้งานได้ดีกว่า
ขอบคุณข้อมูลจากhttp://www.millconsteel.com/
โดย saweang | มิ.ย. 4, 2020 | บทความบ้านๆๆ, บทความเกี่ยวกับเหล็ก
โดย saweang | มิ.ย. 4, 2020 | บทความบ้านๆๆ, บทความเกี่ยวกับเหล็ก
ใครว่าสีห้องนอนนั้นไม่สำคัญ เมื่ออยู่บ้านเรามักใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการอยู่ในห้องนอน เพราะเป็นห้องที่เราใช้พักผ่อนอนหลับพร้อมตื่นรับเช้าวันถัดไป นอกจากการจัดห้องให้ถูกหลักตามฮวงจุ้ยแล้ว การเลือกทาสีห้องนอนจึงเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ควรคำนึงถึง เนื่องจากสีสามารถกำหนดอารมณ์ของห้องแต่ละห้องได้ คนส่วนมากเลือกทาสีห้องนอนจากสีที่ชอบ และอาจมองข้ามเรื่องความหมาย ดังนั้นใครที่กำลังคิดจะทาสีห้องนอนใหม่ หรือกำลังเริ่มแต่งห้องนอน ลองมาดูความหมายของสีต่าง ๆ เพื่อสร้างห้องนอนที่ดีกันค่ะ
ก่อนอื่นเรามาดูข้อควรรู้ในการใช้สีกับห้องนอน
• ไม่ควรใช้สีขาวล้วนกับห้องนอน เพราะสีขาวสะท้อนสีอื่นทุกสีและเก็บพลังไม่อยู่ อาจทำให้เกิดอาการนอนไม่หลับ วิตกกังวล หลับไม่สนิท มีภาวะเก็บกดรุนแรง และหายจากการเจ็บป่วยได้ช้า
• สีของห้องนอนควรมีความแตกต่างจากสีของห้องอื่นภายในบ้าน เพราะถ้าเป็นสีเดียวกันหมดจะทำให้พลังนิ่ง ทำให้ชีวิตเป็นไปอย่างไร้จุดมุ่งหมายที่แน่นอน
• สีของห้องนอนควรเป็นสีอ่อนและเย็นตา เช่น สีเขียวอ่อน สีชมพู สีเหลือง สีส้มอ่อน หากห้องนอนตั้งอยู่ในทิศตะวันตกเฉียงใต้ก็ควรเป็นสีชมพู เพื่อช่วยเสริมความรักความสัมพันธ์
• หลีกเลี่ยงการใช้สีเข้มทึบ เช่น สีน้ำตาลดำ สีเขียวเข้ม สีเทาเข้ม เพราะจะทำให้ขาดพลังชีวิต
สีชมพู
ภาพ : pinterest
เป็นสีที่ช่วยฟื้นฟูความสัมพันธ์ มีพลังในการรักษา โดยเฉพาะกับผู้ที่มีปัญหาทางอารมณ์ สร้างความรู้สึกมั่นใจ ความกระปรี้กระเปร่า และความสนุกสนาน ในขณะเดียวกันก็ยังมีความอ่อนหวาน อ่อนโยน
สีชมพูอมส้ม
ภาพ : pinterest
เป็นสีที่กระตุ้นเรื่องความรัก ความสัมพันธ์ ความมีเสน่ห์ทางเพศ แรงดึงดูดเหมาะสำหรับคนโสดที่ต้องการหาคู่
สีครีม
ภาพ : pinterest
ส่งเสริมให้สุขภาพแข็งแรง ช่วยในการฟื้นตัว ความมั่นคงทางอารมณ์ เหมาะกับห้องนอนผู้สูงอายุ ผู้ป่วย และเด็กที่มีอารมณ์ที่รุนแรง
สีเทา
ภาพ : pinterest
สีแห่งความสมดุล ทำให้จิตใจสงบและมั่นคง ความหยั่งรู้ ความสมบูรณ์ ช่วยดึงดูดความฉลาดที่ซ่อนไว้ให้ปรากฏขึ้น เป็นสีที่เชื่อมโยงกับการมีไหวพริบปัญญา
สีม่วงอ่อน
ภาพ : pinterest
เป็นสีที่ช่วยในการทำสมาธิ และยังช่วยให้นอนหลับลึกได้เป็นอย่างดี สีแห่งความสำเร็จ ความปรารถนา และการงานที่ดี
สีฟ้า
ภาพ : pinterest
ทำให้รู้สึกสงบ ผ่อนคลาย รู้สึกถึงความสบายเหมือนปล่อยใจให้ลอยล่องไปบนท้องฟ้า และยังเป็นสีที่กระตุ้นความคิดสร้างสรรค์
สีเขียว
ภาพ : pinterest
สีของธรรมชาติ สีแห่งการเจริญเติบโต สุขภาพดี มีความเจริญรุ่งเรือง การเริ่มต้นใหม่ โชคลาภ และเป็นสีแห่งความมั่งคั่ง มักใช้เป็นสีดึงดูดกระแสการเงินให้เพิ่มมากขึ้นในชีวิต
ขอบคุณข้อมูลจากhttps://www.trueplookpanya.com/knowledge/content/74785/-homdec-hom-
โดย saweang | มิ.ย. 2, 2020 | บทความบ้านๆๆ, บทความเกี่ยวกับเหล็ก
การกัดกร่อนในเหล็กหรือ “สนิม” มีสาเหตุมาจากเหล็กเอชบีมไม่ได้เป็นวัสดุที่เสถียรในเชิงเคมีและจะพยายามกลับตัวไปสู่สถานะ ภาพเดิมคือ เหล็กออกไซด์ (Iron Oxide) และแร่เหล็ก (Iron Ore) โดยการขึ้นสนิมเป็นผลลัพธ์ของกระบวนการทางเคมีและไฟฟ้าระหว่างเหล็กและสิ่งแวดล้อม เมื่อผิวเหล็ก ความชื้น และออกซิเจน มาทำปฏิกิริยากัน เนื่องจากสนิมทำให้ความแข็งแรงของเหล็กลดลง ดังนั้นจึงต้องมีกระบวนการป้องกันรักษาผิวเหล็กเอชบีม ซึ่งทั่วไปนิยมใช้วิธีป้องกันการเกิดสนิมอยู่ 2 วิธี คือ การเคลือบผิวด้วยสี และการชุบเคลือบผิวด้วยสังกะสีแบบจุ่มร้อน

ที่มาภาพ : https://www.hippopx.com/th/rusty-texture-metal-textured-metal-surfaces-iron-sheet-162788
1. การเคลือบผิวด้วยสี เป็นการทาสีเคลือบผิวเหล็กเอชบีมเป็นลักษณะของชั้นฟิล์ม โดยสีจะทำหน้าที่ปกป้องผิวของเหล็กเอชบีมไม่ให้สัมผัสกับความชื้นและเคมีโดยตรง การเคลือบกันสนิม มีขั้นตอนการดำเนินงาน ดังนี้
1.1 การทำความสะอาดพื้นผิวเหล็กเอชบีม คือ การทำความสะอาดคราบน้ำมัน สารเคมี หรือสารปนเปื้อนต่าง ๆ ที่ติดอยู่บนผิวเหล็ก รวมถึงการกำจัดรอยต่าง ๆ และข้อบกพร่องบนพื้นผิว อาทิเช่น รอยเชื่อมที่ไม่เรียบ สแลก (Slag) ที่เหลือจากกระบวนการเชื่อมประกอบ เป็นต้น
1.2 การเตรียมผิวเหล็กเอชบีมให้เป็นไปตามมาตรฐาน The Society for Protective Coatings (SSPC) ที่กำหนดตามความจำเป็นของงาน ได้แก่ การใช้สารละลาย (Solvent Cleaning) การใช้เครื่องมืออุปกรณ์ที่ใช้แรงคน (Hand tool cleaning) การใช้เครื่องมืออุปกรณ์ไฟฟ้า (Power Tool Cleaning) การพ่นทราย (Blast Cleaning) เป็นต้น
1.3 การเคลือบสีรองพื้น เพื่อป้องกันผิวของเหล็กเอชบีมไม่ให้สัมผัสกับอากาศหรือความชื้นโดยตรง ทำให้อายุการใช้งานของโครงสร้างเหล็กยาวนาน
1.4 การเคลือบสีกันไฟ เนื่องจากพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 และกฏกระทรวงซึ่งออกตามความในพระราชบัญญัติดังกล่าวได้กำหนดให้ใช้วัสดุกันไฟ กับโครงสร้างหลักของอาคารเพื่อชะลอการยุบตัวหรือพังทลายของอาคาร อันอาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สิน
1.5 การเคลือบสีทับหน้าเหล็กเอชบีม เพื่อป้องกันความชื้นที่เป็นสาเหตุการเกิดสนิม และเพื่อให้ได้สีตรงตามความต้องการของลูกค้า นอกจากนี้ สีทับหน้าบางชนิดยังสามารถป้องกันรังสี UV ซึ่งทำให้สีกันไฟและสีรองพื้นเกิดการเสื่อมสภาพ

2. การชุบเคลือบสังกะสีแบบจุ่มร้อน (Hot-Dipped Galvanized) เป็นการเคลือบผิวเหล็กเอชบีมด้วยสังกะสี โดยการจุ่มเหล็กลงในอ่างสังกะสีเหลวแล้วยกขึ้น ทำให้ออกซิเจน ความชื้น และโดยเฉพาะอย่างยิ่งคลอไรด์ (Chloride) ซึ่งมีฤทธิ์กัดกร่อนเหล็กได้ดี ไม่สามารถสัมผัสและทำปฏิกิริยากับเหล็กได้ นอกจากนี้ยังเป็นการป้องกันแบบแคโทดิก (Cathodic Protection) กล่าวคือ สังกะสีเป็นโลหะที่มีค่าศักย์ไฟฟ้าต่ำกว่าเหล็กจึงเกิดปฏิกิริยาเคมีกัดกร่อนก่อนเหล็กเป็นโลหะที่ มีค่าศักย์ไฟฟ้าสูงกว่า ขั้นตอนวิธีการชุบเคลือบสังกะสีแบบจุ่มร้อนมีดังนี้
2.1 การกำจัดสิ่งสกปรก (Soil and Grease Removal – Caustic Cleaning) โดยใช้สารละลายด่างล้างสิ่งสกปรก คราบไขมันต่าง ๆ ตลอดจนถึงเศษดินออกให้สะอาด
2.2 การล้างด้วยน้ำ (Rinsing) ใช้น้ำสะอาดล้างชิ้นงานที่ผ่านการแช่สารละลายด่าง และสารละลายกรดเพื่อกำจัดสภาพด่างและกรดออกจากผิวชิ้นงาน
2.3 การกัดด้วยกรด (Pickling) ใช้สารละลายกรด เช่น กรดซัลฟิวริก กรดไฮโดรคลอริก ทำความสะอาดผิวโลหะ เพื่อกำจัดฟิล์มออกไซด์และสิ่งปนเปื้อนผิวโลหะออกไป
2.4 การแช่น้ำยาประสาน (Fluxing) โดยนำชิ้นงานเหล็กเอชบีมมาแช่ในน้ำยาประสาน (สารละลายซิงค์แอมโมเนียมคลอไรด์ – Zinc Ammonium Chloride Solution) เพื่อปรับความตึงผิวของเหล็ก ให้มีความเหมาะสมกับการเคลือบด้วยสังกะสีหลอม เหลว
2.5 การชุบเคลือบสังกะสี (Galvanizing) นำชิ้นงานเหล็กเอชบีมที่จะชุบเคลือบไปแช่ในอ่างสังกะสีหลอมเหลว (อุณหภูมิประมาณ 435 – 455 °C) สังกะสีจะเคลือบติดกับเนื้อเหล็กหนาขึ้นตามเวลาที่ทำการแช่

การป้องกันสนิมของเหล็กเอชบีมทั้ง 2 วิธี มีข้อดีและข้อเสียแตกต่างกันไป ขึ้นกับสภาพแวดล้อมทางภูมิศาสตร์ และการใช้งานเหล็กเอชบีม ปัจจุบัน SYS ได้พัฒนาสินค้าเหล็ก SYS พร้อมระบบป้องกันสนิม เพื่อความสะดวกสบายของผู้ที่จะใช้งานเหล็ก โดยจะมาให้รายละเอียดในบทความตอนต่อไปครับ
ขอบคุณข้อมูลจากhttps://www.syssteel.com
โดย saweang | มิ.ย. 1, 2020 | บทความบ้านๆๆ, บทความเกี่ยวกับเหล็ก
เหล็กคือ ทรัพยากรธรรมชาติที่นำมาผ่านกรรมวิธีแปรรูปเพื่อการใช้งาน และถือได้ว่าเป็นวัสดุที่ใช้ได้ทั้งงานก่อสร้าง งานที่ช่วยเพิ่มความแข็งแรงให้กับวัตถุและสิ่งของต่างๆ มาอย่างแพร่หลายตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน อย่างที่กล่าวมาขั้นต้นนั้น การนำแร่ธาตุจากธรรมชาติมาแปรรูปเพื่อใช้งาน จำเป็นต้องมีมาตรฐานที่เป็นรูปแบบเหมือนกันในการแปรรูปเพื่อให้เกิดความปลอดภัยในการใช้งานของผู้บริโภค
คุณสมบัติของเหล็ก
คุณสมบัติของเหล็กที่ผ่านการแปรรูปแล้วที่สามารถนำไปใช้ในงานได้หลักๆ คือความทนทานทั้งต่อการใช้งานและสภาพแวดล้อม พร้อมทั้งต้องมีความยืดหยุ่นที่ดี สามารถนำไฟฟ้าและนำความร้อนได้ หลังจากนั้นในกระบวนการเลือกใช้เหล็กให้เหมาะสมกับงานนั้นก็ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของวิศวกรผู้ควบคุมงาน ที่ต้องคิดและคำนวณดูปัจจัยในเรื่องต่างๆ ทั้งปัจจัยภายในและภายนอกเพื่อให้เกิดความปลอดภัยต่อผู้ใช้งานมากที่สุด ซึ่งคุณสมบัติของเหล็กก็มีดังนี้
1. สภาพยืดหยุ่น (Elasticity)
เป็นคุณสมบัติที่ของแข็งหรือเหล็กสามารถเปลี่ยนรูปร่างรูปทรงได้ เมื่อมีแรงกระทำที่พอดี สามารถแบ่งออกได้อีก 2 ประเภท
- สภาพยืดหยุ่น (elasticity) คือ คุณสมบัติที่วัตถุหรือของแข็งเปลี่ยนแปลงรูปร่างไปเมื่อได้รับแรงกระทำที่เพียงพอและสามารถคืนกลับสู่สภาพปกติได้เมื่อไม่มีแรงมากระทำ
- สภาพพลาสติก (plasticity) คือ คุณสมบัติที่วัตถุเปลี่ยนแปลงรูปร่างไปอย่างถาวรเมื่อได้รับแรงกระทำที่เพียงพอ โดยที่พื้นผิวภายนอกไม่แตกหักหรือฉีกขาด
2. ความเค้น (Stress)
เป็นคุณสมบัติทางฟิสิกส์ สามารถอธิบายได้ว่า เป็นความเข้มข้นของแรงกระทำระหว่างอนุภาคภายในของวัตถุหรือของแข็งชิ้นนั้นๆ ต่อแรงภายนอกที่กระทำเพิ่มเข้าไป โดยในกระบวนการทดสอบมาตรฐานของเหล็กนั้น จะใช้การวัดความเข้มข้นของแรงกระทำภายในเฉลี่ยต่อหนึ่งหน่วยพื้นที่ผิวภายใน
3. ความเครียด (Strain)
เป็นคุณสมบัติที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงรูปร่างของวัตถุเมื่อได้รับแรงภายนอกมากระทำ หรือกล่าวง่ายๆ คือ อัตราส่วนของรูปร่างที่เปลี่ยนไปต่อรูปร่างเดิม การวัดและคำนวณหาความเครียดสามารถทำได้ 2 ลักษณะ คือ แบบเส้นตรง (แรงที่มีกระทำมีละกษณะเป็นแรงกด แรงดึง) และแบบเฉือน (แรงที่มีกระทำเป็นแรงแบบเฉือน)
4. การดึงเป็นเส้น (Ductile)
เป็นคุณสมบัติของวัตถุหรือเหล็กที่สามารถทำให้เพิ่มความยาว ขึ้นรูป หรือดึงออกมาเป็นเส้นได้โดยง่าย ถึงแม้ว่าจะได้รับแรงกระทำเข้าไปเพียงเล็กน้อย ซึ่งเหล็กที่มีคุณสมบัติเหล่านี้จะมีคุณสมบัติความยืดหยุ่นแบบพลาสติก ที่เป็นการแปรรูปอย่างถาวรสามารถคืนสภาพเดิมได้ยาก ตัวอย่างของเหล็กและโลหะแปรรูปที่มีคุณสมบัตินี้คือ ตะกั่ว และทองแดง เป็นต้น
5. ความเปราะ (Brittle)
เป็นคุณสมบัติของวัตถุทุกชนิดที่จะมีขีดกำจัดของความยืดหยุ่นเป็นของตนเอง เมื่อวัตถุชิ้นนั้นๆ ได้รับแรงกระทำที่มากเกิดขีดจำกัดก็จะทำให้เกิดการเปราะแตกได้ ซึ่งวัตถุที่มีความเปราะสูงไม่ได้หมายความว่าเป็นวัตถุที่ไม่ทนทาน ยกตัวอย่างเช่น แก้วหรือเซรามิกที่มีความเปราะสูงแต่สามารถทนแรงดึงได้มากกว่าโลหะบางชนิด ดังนั้นคุณสมบัติข้อนี้นั้นใช้เป็นตัวเลือกที่ใช้ในการพิจารณาเลือกใช้ให้เหมาะสมกับงาน

การเลือกใช้เหล็กให้ตรงกับการใช้งานควรเลือกอย่างไร
ในการเลือกใช้งานของเหล็กแปรรูปนั้น เนื่องจากประเภทของเหล็กมีความหลายหลายมาก อาจทำให้เกิดความสับสนและการเลือกใช้งานที่ผิดรูปแบบ ส่งผลต่อเนื่องไปยังความแข็งแรง ความทนทานและความปลอดภัยของผู้บริโภค ทำให้สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมมีการกำหนดมาตรฐาน มอก.เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ตรงกันของทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภคทั่วประเทศไทย ซึ่งได้มีการทำป้ายระบุรายละเอียดต่างๆ ไว้ ได้แก่ บริษัทผู้ผลิต, ประเภทของเหล็ก, ขนาดทั้งเรื่องของความยาว ความกว้างหน้าตัด, วัน เดือน ปีที่ผลิต และที่สำคัญคือ มีการระบุเครื่องหมายมอก.ที่แสดงให้เห็นว่าวัสดุชนิดนี้ได้ผ่านการรับรองมาตรฐานเรียบร้อยแล้ว
เหล็กกับภัยพิบัติจากธรรมชาติครั้งใหญ่
ปัญหาภัยพิบัติทางธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของแผ่นดินไหวหรือวาตภัย โครงสร้างของอาคารบ้านเรือนมีความสำคัญเป็นอย่างมาก เนื่องจากอาคารเหล่านั้นต้องได้รับแรงสั่นสะเทือนของพื้นดินที่รุนแรงหรือต้องทนทานต่อการสั่นไหวจากลม ซึ่งจะอาศัยคุณสมบัติความแข็งแรงอย่างเดียวไปเพียงพอ แต่จำเป็นต้องมีการเสริมคุณสมบัติความเหนียวและความทนทานเข้าไปด้วย ดังนั้นในโครงสร้างอาคารและบ้านเรืองจึงจำเป็นต้องมีการเสริมเหล็ก เพื่อเสริมสร้างคุณสมบัติที่คอนกรีตอย่างเดียวไม่สามารถทำได้ อีกทั้งการเสริมเหล็กยังเอื้อต่อการออกแบบโครงสร้างสถาปัตยกรรมให้มีความหลายหลากมากยิ่งขึ้น ยกตัวอย่างเช่น การสร้างโครงสร้างให้ยื่นออกไปเพื่อเป็นการรองรับแรงสั่นสะเทือน หรือการโค้งการดัดต่างๆ เพื่อให้เกิดสะพานเกิดรูปร่างที่สวยงามแตกต่างและการรับน้ำหนักที่มากขึ้น
เหล็กโครงสร้างรูปพรรณ หรือการเสริมเหล็ก
เป็นวิธีหนึ่งที่ได้รับการยอมรับว่ามีมาตรฐาน ในการออกแบบก่อสร้างอาคารบ้านเรือนที่มีความทนทานต่อภัยพิบัติทางธรรมชาติได้เป็นอย่างดี เพราะโครงสร้างที่มีการเสริมเหล็กเข้าไปจะช่วยเพิ่มคุณสมบัติของคอนกรีตที่มีเพียงความทนทานให้เพิ่มความเหนียวและความยืดหยุ่นเข้ามา
คอนกรีตเสริมเหล็ก
คอนกรีตเสริมเหล็กถือว่าเป็นโครงสร้างที่ใช้ในการออกแบบและก่อสร้างอาคารบ้านเรือน เช่น ใช้เป็นพื้นหรือฐานของอาคาร ใช้เป็นบันได และคานรับน้ำหนัก เป็นต้น ที่มีคุณสมบัติทางกลในเรื่องของการรับน้ำหนัก ซึ่งทำหน้าที่หลักในการรับแรงดึงและแรงอัดเท่านั้น
ประเภทของเหล็กแปรรูปที่ใช้เป็นเหล็กเสริมในคอนกรีตนั้นมีอยู่ด้วยกันทั้งหมด 2 ประเภท ได้แก่ เหล็กเส้นกลมและเหล็กข้ออ้อย ที่เป็นเหล็กกล้าที่มีการผสมของคาร์บอนต่ำทำให้เหล็กเหล็กหนาแน่นละเอียดมากกว่าเหล็กประเภทอื่นๆ และเพื่อความปลอดภัยในการใช้งานก่อนนำเหล็กเหล่านี้ออกมาใช้ ทางผู้ผลิตจะต้องทำการทดสอบคุณสมบัติของเหล็กกล้าทั้งคุณสมบัติทางกายภาพ และคุณสมบัติทางกลของเหล็กก่อนเสมอ
จึงสามารถสรุปได้แล้วว่าเหล็กนั้นถือว่าเป็นวัสดุแปรรูปจากธรรมชาติที่มีความสำคัญมากในสังคมปัจจุบัน ทั้งช่วยในเรื่องเพิ่มความแข็งแรง ป้องกันอันตรายจากภัยพิบัติและสร้างความปลอดภัยในชีวิตประจำวัน ส่วนในเรื่องของการเลือกใช้งานให้เหมาะสมนั้นควรอยู่ในดุลพินิจของผู้เชี่ยวชาญเพื่อให้เกิดความปลอดภัยสูงสุดต่อผู้ใช้งาน
ขอบคุณข้อมูลhttps://www.chi.co.th/article/article-2010/