Warning: "continue" targeting switch is equivalent to "break". Did you mean to use "continue 2"? in /home/thanasarnc/domains/thanasarn.co.th/public_html/wp-content/themes/divi/includes/builder/functions.php on line 4783
เหล็กรูปพรรณ คือ Archives - Page 11 of 11 - ตัวแทนจำหน่ายเหล็กทุกชนิด เหล็กเส้น เหล็กไวแฟรงค์ เหล็กเฮชบีม เหล็กไอบีม ราคายุติธรรม google.com, pub-1539147387772263, DIRECT, f08c47fec0942fa0
เลือกเหล็กให้ถูกต้อง เพื่อบ้านที่แข็งแรง

เลือกเหล็กให้ถูกต้อง เพื่อบ้านที่แข็งแรง

โครงสร้างบ้านคอนกรีตเสริมเหล็ก (คอนกรีตเสริมเหล็ก เรียกโดยย่อว่า ค.ส.ล.) เป็นโครงสร้างที่นิยมกันอย่างแพร่หลายมาช้านาน ซึ่งใช้ “เหล็กเส้น” เป็นส่วนประกอบของโครงสร้างประเภทนี้ ใช้ทำส่วนต่างๆของบ้าน ได้แก่ เสา คาน พื้น รวมถึงงานผนังก่ออิฐ โดยหน้าที่ของเหล็กเส้นในโครงสร้าง ค.ส.ล. คือการรับแรงดึง ในขณะที่คอนกรีตทำหน้าที่รับแรงอัดหรือแรงกด ซึ่งนอกจากขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางของเหล็กเส้นที่ต่างกันจะส่งผลเรื่องความสามารถ ในการรับแรงดึงของงานโครงสร้างแล้ว ส่วนประกอบทางเคมีในเนื้อเหล็กแต่ละประเภทก็มีผลในการรับแรงเช่นกัน เรียกว่า “ค่ากำลังรับแรงดึง” หรือ “ค่ากำลังรับแรงดึงที่จุดคราก” มีหน่วยเป็น “กิโลกรัมต่อตารางเซนติเมตร (กก./ ตร.ซม. หรือ ksc) ซึ่งในการที่จะสร้างบ้านควรเลือกใช้เหล็กให้เหมาะสม และควรเลือกซื้อให้ถูกต้องเพื่อความแข็งแรงของโครงสร้างบ้านและอาคารที่เราอยู่อาศัยเพื่อสิ่งที่เราปลูกสร้างจะได้อยู่กับเราไปนานๆ

เหล็กเส้นมี 2 ประเภท ดังนี้

ประเภทของเหล็กเส้น

1. เหล็กเส้นกลม (Round Bar หรือ RB)

ลักษณะของเหล็กเส้นกลมภายนอกจะมีผิวเรียบเกลี้ยง หน้าตัดกลม ซึ่งที่มีขายกันอยู่ทั่วไปจะมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 6 และ 9 มม.
หรือที่ช่างมักเรียกว่า เหล็ก 3 หุน และ เหล็ก 4 หุน ตามลำดับ สำหรับขนาดอื่นได้แก่ 15, 19 และ 20 มม. ต้องสั่งซื้อพิเศษ โดยเหล็กเส้นกลมแต่ละขนาด
จะมีความยาวอยู่ที่ 10 และ 12 เมตร การใช้งานของเหล็กเส้นกลมจะใช้กับโครงสร้างพื้นหล่อกับที่, ครีบ ค.ส.ล. ที่ยื่นจากตัวบ้าน, งานหล่อเคาน์เตอร์
รวมถึงงานเสาเอ็น คานเอ็น (ทับหลัง) ของผนังก่ออิฐ และทำหน้าที่เป็นเหล็กยึดผนังเข้ากับเสาเพื่อป้องกันผนังล้มที่เรียกว่า “เหล็กหนวดกุ้ง”

2. เหล็กข้ออ้อย (Deformed Bar หรือ DB)

ลักษณะของเหล็กข้ออ้อย คือเหล็กเส้นกลมที่มีบั้ง หรือครีบเป็นปล้อง ๆ ตลอดทั้งเส้น โดยครีบหรือปล้องจะมีลักษณะต่าง ๆ ตามผู้ผลิตแต่ละราย
ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางที่มีขายโดยทั่วไปคือ 12 และ 16 มม. สำหรับขนาดอื่นได้แก่ 10, 20, 25 และ 28 มม. ต้องสั่งซื้อพิเศษ โดยเหล็กข้ออ้อยแต่ละขนาด
จะมีความยาวอยู่ที่ 10 และ 12 เมตรเช่นเดียวกับเหล็กเส้นกลม เหล็กข้ออ้อยนั้นจะถูกเลือกใช้ในงานโครงสร้างหลักประเภท เสา, คาน, บันได, ผนังรับน้ำหนัก
รวมถึงบ่อ หรือสระน้ำต่าง ๆ เพราะมีค่ากำลังรับแรงดึงมากกว่าเหล็กกลม และด้วยพื้นผิวที่ไม่เรียบจึงช่วยยึดเกาะกับเนื้อคอนกรีตได้ดีกว่า

วิธีอ่านค่ากำลังรับแรงดึงที่จุดคราก

วิธีการค่ากำลังรับแรงดึงที่จุดครากของเหล็กกลมจะระบุเป็น SR (Steel Round Bar) และเหล็กข้ออ้อยจะระบุเป็น SD (Standard Deformed Bar)
แล้วตามด้วยตัวเลขที่บ่งบอกค่ากำลังรับแรงดึง เช่น SR24 หมายถึง เหล็กกลมที่มีกำลังรับแรงดึงที่จุดครากไม่น้อยกว่า 2,400 ksc หรือ SD30 หมายถึง เหล็กข้ออ้อย
ที่มีกำลังรับแรงดึงที่จุดครากไม่น้อยกว่า 3,000 ksc เป็นต้น ดังนั้น ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางของเหล็กเท่ากัน อาจมีค่ากำลังรับแรงดึงต่างกันได้ เช่น เหล็กข้ออ้อย 12 มม.
จะมีทั้ง SD30, SD40 และ SD50 เป็นต้น และในทางกลับกันเหล็กเส้นที่มีกำลังรับแรงดึงเดียวกัน ก็จะมีเหล็กที่มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางที่ต่างกันได้ เช่น
เหล็กข้ออ้อย SD30 ที่เส้นผ่านศูนย์กลาง 12, 16, 20 และ 25 มม. เป็นต้น

มาตรฐานของเหล็กเส้น

นอกจากเลือกเหล็กเส้นจากค่ากำลังรับแรงดึงแล้ว เรายังต้องดูอีกว่ามาตรฐานของเหล็กเส้นที่นำมาใช้นั้น มีคุณภาพหรือไม่เพื่อให้เหมาะกับการใช้งาน
โดยมาตรฐานของเหล็กเส้นมี 2 ประเภท คือ
1. เหล็กเต็ม หรือ เหล็กโรงใหญ่ หมายถึงเหล็กที่มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง และน้ำหนักของเหล็กได้มาตรฐาน มอก.
2. เหล็กเบา หรือ เหล็กโรงเล็ก เป็นเหล็กที่ผลิตให้มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางและน้ำหนักต่ำกว่ามาตรฐาน มอก. มักเป็นเหล็กรีดซ้ำ (นำเศษเหล็กที่ใช้งานแล้ว
หรือเศษเหล็กเสียสภาพมารีดใหม่อีกครั้ง) เหล็กเบาจะมีราคาต่ำกว่าเหล็กเต็มประมาณ 40 สตางค์ – 1 บาทต่อ 1 กิโลกรัม ซึ่งทำให้ประหยัดค่าใช้จ่าย แต่อาจก่อให้เกิดอันตราย
เพราะอาจจะไม่สามารถรับน้ำหนักตามที่แบบกำหนดไว้ได้ เพราะแท้จริงแล้ว เหล็กเบาเหมาะกับงานหล่อที่ไม่เน้นเรื่องการรับน้ำหนัก หรือ ในส่วนที่ไม่ใช่โครงสร้างหลัก เท่านั้น
เช่น ใช้เป็นเหล็กหนวดกุ้ง ใช้เป็นเหล็กเสริมสำหรับหล่อเคาน์เตอร์ครัว เป็นต้น

ที่มา : scgbuildingmaterials.com

ปลูกบ้านคอนเทนเนอร์ 100 ตารางเมตร งบ 500,000 สวยมาก

ปลูกบ้านคอนเทนเนอร์ 100 ตารางเมตร งบ 500,000 สวยมาก

นี่เป็นกระทู้แรกของเรา หากผิดพลาดประการใดต้องขอโทษด้วยค่ะ
บ้านหลังนี้เริ่มจากความฝันของเราตั้งแต่เด็กๆที่อยากจะมีบ้านอยู่กับ แม่ พี่ชาย และน้องสาว ในที่ผืนเดียวกัน เพื่อที่จะได้ช่วยกันดูแลแม่ยามที่แก่เฒ่า และได้ดูแลกันและกันด้วย จนในที่สุดเราก็ได้ที่ผืนนี้มา เนื้อที่400 ตารางวา แบ่งออกเป็น4ส่วน ของแม่ ของพี่ชาย ของน้องสาว และของเรา

 

จากนั้นก้อสั่งดินมาถม

และเราก็เริ่มหาแบบบ้านที่อยากได้จากอินเตอร์เน็ต และก็ได้แบบบ้านตามรูป 

เราอยากจะใช้ประโยชน์จากใต้ถุนบ้าน ไม่อยากจะเว้นว่างไว้ตามแบบ จึงคิดว่าจะทำเป็นที่เก็บของต่างๆ หรืออุปกรณ์ ก่อสร้าง ทำสวน อะไรพวกนี้ จึงลงมือเทพื้นด้วยปูนไว้ก่อน

หลังจากเทพื้นเสร็จแล้ว เราใช้วิธี เอาเสาเข็มมาวางเป็นฐานราก 

ใช้เสาเข็ม9เมตร ทั้งหมด 4 ต้น โดยต้นสุดท้าย จะตัดเสาเข็ม และวางห่างกัน เพื่อเอาไว้ทำบันไดทางขึ้นข้างบ้าน

จากนั้นเราเอาตู้คอนเทนเนอร์ขนาด 40ft high cube  จำนวน2ตู้มาวาง สาเหตุที่ใช้ตู้สูง เพราะว่าไม่อยากให้เพดานเตี้ย กลัวว่าจะทำให้ดูอึดอัด เนื่องจากตู้ขนาดมาตรฐานจะสูงแค่2.4เมตร แต่แบบhigh cube จะสูง2.7เมตร  ซึ่งเราซื้อตู้คอนเทนเนอร์มือสองจากแถวๆบางนาตราด ราคาตู้ใบละ 50,000 บาท

เมื่อวางตู้คอนเทนเนอร์เสร็จ ก็รีบขึ้นหลังคาเลย เพราะที่โล่งๆแดดร้อนมวากกก หลังคาเราใช้เมททัลชีท บุโฟมกันร้อนอย่างหนา เพราะไม่อยากใช้หลังคากระเบื้อง เนื่องจากน้ำหนักจะหนักมาก

เมื่อบ้านมีหลังคาแล้ว จากนั้นเราก็เริ่มเจาะ และตัดผนังตู้คอนเทนเนอร์ด้านในบ้านออก เพื่อเชื่อมต่อพื้นที่ระหว่างตู้คอนเทนเนอร์ทั้ง2ตู้ จะทำให้บ้านกว้างขึ้น เจาะช่องสำหรับหน้าต่าง และเราก็เอาผนังเหล็กของตู้ที่ตัดออก ไปทำผนังบ้าน ผนังห้องน้ำและผนังห้องนั่งเล่น ที่ตอนแรกได้วางคอนเทนเนอร์เหลื่อมกันเอาไว้ และเว้นพื้นที่เอาไว้สำหรับ2ห้องนี้

กั้นโครงเหล็ก เพื่อกั้นสัดส่วนระหว่างห้องนอน กับ ห้องรับแขก

 

เมื่อทำโครงเหล็กเพื่อกำหนดสัดส่วนของห้องต่างๆเรียบร้อยแล้ว ก็เริ่มกรุผนังห้อง วัสดุที่เราเลือกใช้คือสมาร์ทบอร์ทแผ่นเรียบ และติดฉนวนกันร้อนด้วยค่ะ เพื่อป้องกันผนังบ้านร้อน แต่สำหรับห้องครัวเราเลือกใช้สมาร์ทบอร์ทแบบเซาะร่อง เพื่อให้ดูsoftและvintageมากขึ้น  รูปนี้คือกรุผนังห้องครัว ช่องที่เจาะไว้ เรากะว่าจะทำหน้าต่างบานกระทุ้งค่ะ เพราะจะติดตั้งเคาน์เตอร์ครัวตรงนั้น ลมและแสงแดดจะได้ส่องเข้ามาถึงตรงอ่างล้างจานได้

 

ในรูปนี้สุดทางคือห้องน้ำสำหรับแขก ซ้ายมือคือห้องเก็บของ และตรงที่ยืนถ่ายรูปอยู่คือตำแหน่งห้องครัว ซึ่งในขั้นตอนนี้ช่างก็จะเดินท่อน้ำ และสายไฟไปด้วยเลย

ติดตั้งอ่างอาบน้ำในห้องน้ำและปูกระเบื้องห้องน้ำ  

พอทำภายในเสร็จเรียบร้อย เราก็เกิดเปลี่ยนใจอยากกรุผนังภายนอกบ้านด้วยไม้เชอร่า อยากได้อารมณ์แบบบ้านเมืองนอกนิดๆ อีกอย่างเรากลัวว่าถ้าผนังตู้คอนเทนเนอร์สัมผัสกับแดดโดยตรงอาจจะร้อนก้อได้ คิดว่าถ้ากรุผนังภายนอก ก็น่าจะทำให้ร้อนน้อยลงได้อีกพอกรุผนังภายนอก และติดประตูหน้าต่างเสร็จก็จะได้หน้าตาประมาณนี้

แต่เราว่ามันดูขาดๆอะไรบางอย่างไป ก็เลยซื้อไม้เชอร่ามาตัดทำเป็นบัวประตู และหน้าต่างค่ะ ดูดีขึ้นมาทันทีเลย

เมื่อตัวบ้านเสร็จ ก็จัดการต่อท่อน้ำดี ท่อน้ำทิ้ง ด้านหลังบ้าน และวางแผ่นพื้นรอบบ้านค่ะ

พอทำมาขั้นตอนนี้ รู้สึกตัวว่าหลังคาบ้านสั้นๆแบบนี้ไม่เหมาะกับเราเลยค่ะ เพราะบ้านหันหน้าทางทิศตะวันออก ช่วงเช้าถึงช่วงสายแดดเข้ามาถึงกลางบ้านเลยค่ะ ก็เลยต้องต่อเติมระเบียงหน้าบ้านทำหลังคายาวออกไป และสำหรับทำเป็นที่จอดรถด้วยค่ะ

ทำระเบียงและที่จอดรถเสร็จหน้าตาเป็นแบบนี้ เริ่มดูเป็นบ้านจริงๆขึ้นมาแล้ว 

พอบ้านจะเสร็จ ก้อมีไอเดียค่ะ บ้านเราชอบปิ้งย่าง ก็เลยอยากได้พื้นที่หน้าบ้านนั่งกินปิ้งย่างกัน ก็เลยทำศาลากล้วยไม้ เอาไว้นั่งกินปิ้งย่าง ส่วนนี้ค่าแรงช่าง20,000 ซื้อของอีกประมาณ10,000ค่ะ

มีระแนงแขวนกล้วยไม้

งานจัดสวนก็มา

ระหว่างจัดสวน เราก้อตกแต่งภายในไปด้วย เนื่องจากภายในกรุด้วยสมาร์ทบอร์ด เราจึงติดวอลล์เปเปอร์เพื่อเพิ่มความสวยงาม มาดูห้องนอนกันค่ะ

ห้องรับแขก

บานประตู ตรงหลังคานั่นเป็นช่องserviceระบบไฟค่ะ เปิดขึ้นไปสามารถเข้าไปserviceระบบไฟที่อยู่บนหลังคาตู้ได้ เราให้ช่างเดินไฟส่องสว่างเอาไว้ในนั้นด้วย เวลาขึ้นไปจะได้ไม่ต้องถือไฟฉายค่ะ 

หลังที่เห็นในรูปคือบ้านของแม่ ปลูกอยู่ในที่ผืนเดียวกัน

พอบ้านของเราสร้างเสร็จ บ้านของแม่ก็ปลูกไปได้40%

ตอนนี้บ้านปลูกเสร็จแล้ว และได้อาศัยในบ้านหลังนี้มาแล้วเป็นระยะเวลา1ปี มาดูสภาพบ้านกันค่ะ

สุดท้ายนี้สำหรับเพื่อนๆที่อยากจะมีบ้านในฝัน แต่กำลังทุนทรัพย์ไม่เพียงพอ ก็อาจจะลองปลูกบ้านคอนเทนเนอร์แบบนี้ดูก็ได้นะคะ สำหรับเราบ้านหลังใหญ่ๆสวยๆเราก็อยากจะมี แต่กลัวดูแลไม่ไหว อีกอย่างก็ไม่มีเงินสร้างบ้านแพงๆแบบนั้นด้วย พอลองได้อยู่บ้านคอนเทนเนอร์แบบนี้มาแล้ว1ปี ก็รู้สึกว่ามีความสุขเหมือนอยู่บ้านมาตรฐานทั่วๆไปเลยแหละ ไม่ต้องเครียดกับการผ่อนบ้านราคาแพงๆ อยากไปเที่ยวไหน อยากกินอะไร ก็สามารถทำได้ โดยที่ไม่ต้องเครียดเพราะจะต้องเก็บเงินเอาไว้ผ่อนบ้านอย่างเดียว

สรุปค่าใช้จ่ายปลูกบ้านคอนเทนเนอร์ ค่าแรง+ค่าตู้+ค่าอุปกรณ์ก่อสร้าง 500,000บาท
ค่าติดวอลเปเปอร์+ค่าแอร์4ตัว+ค่าผ้าม่าน+ค่าเฟอร์นิเจอร์ 200,000บาท

สุดท้ายนี้ขอให้เพื่อนๆทุกคนมีความสุขกับการสร้างบ้านในฝันของตัวเองนะคะ

ขอบคุณข้อมูลจากกระทู้พันทิปpantip.com/topic/37451907

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

สร้างบ้านด้วยตัวเอง ด้วยทุน 5แสนบาท(ไม่รวมค่าที่ดิน)

สร้างบ้านด้วยตัวเอง ด้วยทุน 5แสนบาท(ไม่รวมค่าที่ดิน)

วีวิวการสร้างบ้านด้วยตัวเอง จากกระทู้พันทิป ด้วยงบประมาณ 5 แสนบาท  ด้วยโครงสร้างเหล็กกล่อง

เหนื่อยเหมือนกันนะครับ สร้างบ้านเองเนี่ย จ้างลูกน้องคนเดียว เอ้ามาดูกัน รูปเยอะครับ  ด้วยประสบการณ์ช่างไฟฟ้าสมัยก่อน จึงได้เรียนรู้วิชาช่างก่อสร้างต่างๆไปในตัว ประมาณว่า จับมาแทบทุกอย่าง  และก็มาถึงเวลาที่จะสร้างบ้านเป็นของตัวเองสักที เช่าบ้านคนอื่นอยู่มานานละ   เริ่มกันเลยที่ หาชื้อเครื่องมือช่าง

ออกแบบตัวบ้าน งานนี้ โครงสร้างเหล็กทั้งหมดครับ ไม่มีงานปูนงานไม้ เสียเวลา


หลังจากได้ที่ดินแล้ว ก็มาพิจารณากันว่า จะเอายังงัย อะไรตรงไหน เริ่มต้มด้วยการถ่างป่า


เอาออกให้เกลี้ยง ขออภัยที่ไม่ได้รักธรรมชาติ 5555+

และก็ถึงวันที่ลงเสาเอก ดูวันที่ในรูปได้ครับ

ทีนี้ก็มาถึงการปรับพื้นที่และเทพื้นล่ะครับ ส่วนนี้ ให้ช่างปูนมาเหมาครับ


ระบบไฟฟ้าและประปา ฝังไปพร้อมกับคานไปเลย งานนี้

เทคานรั้วไปด้วยเลย แน่นอน รั้วเหล็ก ง่ายดีครับ


หลายท่านคงสงสัย เสาล่ะ ทำฐานยังไง


มีกราวเสาด้วยนะครับ 2เล่มต่อ 1เสา


เทพื้นเสร็จละ ตั้งเสาเลยละกันครับ เวลามีน้อย

เริ่มคานชั้นล่างเลยครับ เสื้อชมพูนั่น ผมเองครับ อีกคนคือลูกมือ


ขึ้นโครงสร้างไปเรื่อยๆครับ


ใช้แผ่นพื้นของเฌอร่าครับ หนา 20มิล


แผ่นพื้นหนักมาก หาทางออกแทบไม่ได้ จะยกขึ้นมายังไง จบที่ชื้อรอกไฟฟ้าครับ


ไปเรื่อยๆ


อันนี้เอาเสียวกันเลยทีเดียว โครงหลังคา


เริ่มติดแผ่นฝาครับ หนา 10มิล


เริ่มทำโครงรั้วไปด้วยเลย


โครงหลังคาห้องครัว


ปูกระเบื้องก็ปูเอง ปวดเอวแทบแย่


พื้นระเบียงหน้าประตูชั้นล่าง

ขึ้นชั้นบนกันครับ


ระบบไฟฟ้า มีระบบโซล่าเซลด้วยครับ ใช้งานเฉพาะแสงสว่างเท่านั้น ส่วนนี้ก็ทำเองทั้งหมดครับ


ชั้นสอง


ขอเลขที่บ้านเลยครับ

ย้ายแอร์จากบ้านเช่า

ทำบุญกันหน่อย เอาฤกษ์


ลูกสมุน


โดยรวมแล้ว 95% ครับ ที่เหลือก็ตกแต่งด้านนอก และทาสี แต่งบหมดแล้วครับ 55555
สรุป 500,000บาทถ้วน ทั้งหมดที่เห็นในรูป พื้นคอนกรีต รั้ว ตัวบ้าน ใช้เวลา 75วัน
และเสียเวลาตัวผมไปอีก 1เดือน เนื่องจากตกระเบียงชั้นสอง ซี่โครงหักไป 2ซี่
มีแต่ชาวบ้านนินทาว่า โง่ สร้างบ้านเองไม่จ้างใคร
ต้องขออภัย อยากตอกหน้าถามกลับไปว่า ถ้าจ้าง เงิน 5แสน จะได้บ้านแบบไหน แค่ค่ามือช่างก็เกินแสน อาจจะสองแสนด้วยซ้ำ บ้านสองชั้นเนี่ย
ที่จ้างๆก็มี แค่ เทพื้นและคานรั้วเท่านั้นแหล่ะครับ นอกนั้นลุยเองหมด

อย่างว่า งบน้อย ก็ตามสภาพของเรากันไป อย่างน้อย ก็มีบ้านเป็นของตัวเองแล้ว สบายใจครับ

 

ขอบคุณข้อมูลจากเว็บไซต์ pantip.com/topic/36404826

บ้านโครงสร้างเหล็ก VS โครงสร้างคอนกรีต แบบไหนดีกว่ากัน

บ้านโครงสร้างเหล็ก VS โครงสร้างคอนกรีต แบบไหนดีกว่ากัน

อีกหนึ่งวัสดุที่แสดงถึงการเปลี่ยนแปลงของกาลเวลาคือ บ้านโครงสร้างเหล็ก ยุคสมัยผ่านไปสภาพแวดล้อมการอยู่อาศัยก็เปลี่ยนไปตามบริบทต่างๆ โครงสร้างอาคารบ้านเรือนก็เช่นกัน จากโครงสร้างไม้ สู่โครงสร้างคอนกรีต จนมาถึงบ้านโครงสร้างเหล็ก

ปัจจุบันวัสดุที่นิยมเลือกปลูกสร้างโครงสร้างบ้านก็จะเป็น บ้านโครงสร้างเหล็ก และคอนกรีต ส่วนโครงสร้างไม้ไม่เป็นนิยมด้วยปัจจัยในเรื่องความแข็งแรงและการเสื่อมสภาพ ซึ่งวัสดุทั้งสองชนิดก็มีข้อดี-ข้อด้อยแตกต่างกัน

•เลือกโครงสร้างเหล็ก ให้เหมาะกับบ้าน
•เหตุผลดีๆ ที่คุณต้องใช้โครงสร้างเหล็ก

ครั้งนี้เราจึงอยากจะพาไปรู้จักเกี่ยวกับบ้านโครงสร้างคอนกรีตเสริมเหล็กและบ้านโครงสร้างเหล็ก ให้มากขึ้น สำหรับใครที่กำลังเก็บเงินจะปลูกบ้านแต่ชั่งใจว่าจะเลือกสร้างบ้านแบบไหนดี เป็นตัวตัดสินใจให้ผู้อ่านกัน

บ้านโครงสร้างเหล็ก

บ้านโครงสร้างเหล็ก

นับเป็นอีกทางเลือกหนึ่งของคนที่เบื่อบ้านปูนและบ้านไม้กันแล้ว ปัจจุบันมีทางเลือกที่สามารถใช้เหล็กรูปพรรณสร้างบ้านได้เกือบทั้งหลัง โดยนำมาเชื่อมต่อกันเป็นเสา คาน โครงรับพื้น โครงหลังคา และโครงผนัง ซึ่งมีให้เลือกหลายรูปร่างหน้าตัด เช่น สี่เหลี่ยมจัตุรัส สี่เหลี่ยมผืนผ้า เหล็กรูปตัวซี เหล็กตัวซีรางน้ำ เหล็กฉาก เป็นต้น ซึ่งจุดเด่นของเหล็กคือ เป็นวัสดุสำเร็จรูปที่ผลิตจากโรงงานมาอยู่แล้ว จึงได้มาตราฐานดีกว่าปูนหรือไม้ อีกทั้งยังประหยัดเวลาการก่อสร้างได้ดีกว่างานคอนกรีตเสริมเหล็กเท่าตัวเลยทีเดียว

บ้านโครงสร้างเหล็ก

 

บ้านโครงสร้างเหล็ก

ข้อดี

  • ประหยัดเวลาในการก่อสร้าง เพราะแต่ละโครงสร้างถูกผลิตมาจากโรงงานแล้ว พอถึงหน้างานจึงเสมือนแค่ประกอบชิ้นส่วนต่างๆ เท่านั้น
  • มีความแข็งแรงไม่ต่างกับโครงสร้างคอนกรีตเสริมเหล็กเท่าไหร่
  • สามารถเข้าถึงพื้นที่ที่ปลูกสร้างได้ยากมีข้อจำกัดสูงได้ดีกว่าการสร้างบ้านคอนกรีต
  • เสาคานเหล็กมีขนาดเล็กทำให้ภายในบ้านโล่งกว้างไม่มีส่วนของเสาหรือคานโผล่ซึ่งทำให้จัดวางเฟอร์นิเจอร์ได้ง่าย
  • การเดินระบบอย่าง เดินท่อประปา เดินท่อร้อยสายไฟ สามารถทำได้ง่าย
  • ผู้ที่ชื่นชอบความดิบเปลือย การโชว์เนื้อวัสดุ หรือการตกแต่งบ้านสไตล์ Loft, Industrial บ้านโครงสร้างเหล็กเป็นสิ่งที่ตอบโจทย์ได้เป็นอย่างดี

ข้อเสีย

  • งบประมาณค่อนข้างสูง เนื่องด้วยวัสดุมีราคาสูง ทำให้ต้นทุนวัสดุมีราคาแพงกว่าบ้านที่ก่อด้วยวัสดุอื่นประมาณ 30%
  • บริษัทที่รับสร้างมีไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่ อีกทั้งช่างผู้เชี่ยวชาญยังหาได้ค่อนข้างยาก
  • ความยากของการสร้างบ้านโครงสร้างเหล็กคือ การเชื่อม จำเป็นต้องให้ช่างที่มีความชำนาญสูงในการดูแลงาน
  • มีค่าบำรุงรักษาระยะยาว ค่าทาสี ป้องกันสนิม ฯลฯ

 

 

บ้านโครงสร้างคอนกรีตเสริมเหล็ก

บ้านโครงสร้างคอนกรีตเสริมเหล็ก

เรียกย่อๆได้ว่า “โครงสร้าง ค.ส.ล.” ซึ่งถือเป็นที่นิยมมานานเพราะวัสดุที่หาได้ง่ายและมีราคาถูกกว่าการโครงสร้างแบบอื่นๆ มีส่วนประกอบหลักคือ ปูนซีเมนต์ หิน กรวดหรือทราย และน้ำ และเสริมด้วยเหล็กเข้าไป เพราะคอนกรีตมีคุณสมบัติในการรับแรงอัดได้ดี แต่รับแรงดึงได้ค่อนข้างต่ำมาก จึงจำเป็นต้องเสริมเหล็กเข้าไปเพื่อเพิ่มคุณสมบัติแรงดึง ทำให้รับแรงของวัสดุโดยรวมได้มากยิ่งขึ้น  ซึ่งรับน้ำหนักได้ประมาณ 200 – 400 กิโลกรัมต่อตารางเมตร สำหรับบ้านพักอาศัยและอาคารทั่วไป

ปัจจุบันโครงสร้างคอนกรีตผสมเหล็กถูกพัฒนามาต่อเนื่องด้วยคุณภาพที่ได้มาตราฐานดีกว่าเมื่อก่อน สามารถหล่อขึ้นรูปได้หลากหลายรูปแบบ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีส่วนที่ต้องใช้ความชำนาญและความละเอียดรอบคอบของช่าง ทั้งในขั้นตอนเทคอนกรีต การบ่มคอนกรีต จนไปถึงการผูกเหล็กและทาบเหล็ก เพื่อให้คอนกรีตแข็งแรงเต็มประสิทธิภาพ

 

บ้านโครงสร้างคอนกรีตเสริมเหล็ก

 

 

ข้อดี

  • มีความแข็งแรง ทนทานมากกว่าบ้านโครงสร้างเหล็ก
  • ทั้งปูนซีเมนต์ หิน กรวด ทราย เป็นวัสดุที่มีราถูกกว่าโครงสร้างเหล็ก จึงช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้อย่างดี
  • เนื่องจากเป็นสิ่งที่มีในเมืองไทยมานานแล้ว ปัจจุบันจึงมีผู้รับเหมาและช่างที่ชำนาญอยู่มากพอสมควร จึงไม่เป็นเรื่องยุ่งยากในการติดต่อหาช่างมารับงาน
  • การดูแลรักษาง่ายกว่าและถูกกว่าโครงเหล็ก ทั้งยังมีวิธีแก้ไขที่ไม่ยุ่งยาก รวดเร็วกว่า

ข้อเสีย

  • ถึงแม้ปัจจุบันจะคอนกรีตสำเร็จรูปที่ช่วยประหยัดเวลาการก่อสร้าง แต่ถ้าเทียบกับโครงสร้างเหล็กแล้วก็ยังใช้ระยะเวลาการก่อสร้างมากกว่าอยู่ดี
  • ค่าใช้จ่ายในส่วนวัสดุก็จริง แต่ค่าแรงช่างอาจแพง เนื่องจากต้องใช้เวลานานในการก่อสร้าง ค่าแรงช่างจึงแพงตามระยะเวลาการก่อสร้าง
  • ด้านสิ่งแวดล้อมงานคอนกรีตมักทิ้งร่องรอยความสกปรกไว้บริเวณก่อสร้างมาก อีกทั้งมลพิษทางเสียงยังมากกว่างานโครงสร้างเหล็ก
  • เมื่อมีงานต่อเติมจะค่อนข้างยุ่งยากกว่างานโครงสร้างเหล็ก
  • เมื่อมีน้ำหนักมาก จึงจำเป็นต้องใช้เสาเข็มจำนวนมากในการรับน้ำหนัก ค่าวัสดุก็เพิ่มมากขึ้น

อย่างไรก็ตามไม่ว่าจะเป็นบ้านโครงสร้างคอนกรีตเสริมเหล็กหรือโครงสร้างเหล็ก อยากให้เจ้าของบ้านลองตั้งเป็นข้อๆ แล้วตอบตัวเองว่าต้องการแบบไหน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงบประมาณ การดูแลรักษาหลังจากสร้างเสร็จ ด้านการออกแบบ แล้วลองตัดสินใจกันดูครับ เพราะแต่ละแบบก็มีข้อดี-ข้อด้อยแตกต่างกันไป แต่สำคัญที่สุดคือ ความมั่นคงแข็งแรง ดังนั้นควรให้วิศวกรตรวจสอบความแข็งแรงทั้งระหว่างงานก่อสร้างและหลังจากก่อสร้างเสร็จอย่างละเอียดจะดีที่สุด

 

ขอบคุณข้อมูลจากเว็บไซต์ baanlaesuan.com

เหล็กรูปพรรณ คือ?

เหล็กรูปพรรณ คือ?

เหล็กโครงสร้างรูปพรรณ (Structural Steel) คือ เหล็กที่ผลิตออกมามีหน้าตัดเป็นรูปลักษณะต่างๆ สำหรับใช้ในงานโครงสร้าง แบ่งการผลิตออกเป็น 2 แบบได้แก่ เหล็กโครงสร้างรูปพรรณรีดร้อน และ เหล็กโครงสร้างรูปพรรณรีดเย็น

การรีดร้อนของเหล็กแผ่น (Hot Rolling of Flat Products)

โดยทั่วไปการผลิตเหล็กแผ่นรีดร้อนในประเทศไทยจะเริ่มจากการหลอมเศษเหล็กด้วยเตาไฟฟ้า (Electric Arc Furnace) เพื่อผลิตน้ำเหล็กให้ได้ตามส่วนผสมทางเคมีที่ต้องการ จากนั้นน้ำเหล็กจะถูกทำให้แข็งตัวโดยผ่านขบวนการหล่อแบบต่อเนื่อง (Continuous casting) เพื่อหล่อเป็นเหล็กแผ่นหนา (Slab)     Slab จะถูกตัดด้วยเครื่องตัด (Shearing machine) เพื่อให้ได้ขนาดที่เหมาะสมก่อนที่จะผ่านเตาอบ (Slab reheating furnace) เพื่อให้ความร้อน (สำหรับบางโรงงานที่ไม่มีเตาไฟฟ้าสำหรับหลอมเศษเหล็ก จะนำเข้า Slab จากต่างประเทศเข้ามาเป็นวัตถุดิบ) โดยอุณหภูมิที่ใช้อบ (Slab reheating temperature, SRT) อยู่ในช่วงประมาณ 1100-1250 °C จากนั้น Slab ที่ผ่านเตาออกมาจะผ่านการขจัดสนิม (Descaling) ด้วยน้ำที่พ่นมาที่ผิวเหล็กด้วยแรงดันสูง และผ่านสู่การรีดลดขนาดที่อุณหภูมิสูง (Hot rolling) โดยอุณหภูมิขณะที่เหล็กผ่านแท่นการรีดสุดท้าย (Finishing temperature, FT) โดยทั่วไปจะสูงกว่า 870 °C หลังจากผ่านแท่นรีดสุดท้าย เหล็กแผ่นจะถูกทำให้เย็นลงโดยการผ่านน้ำหล่อเย็น (Cooling table) และเข้าสู่เครื่องม้วน (Coiler) ซึ่งโดยทั่วไปอุณหภูมิที่ใช้ม้วน (Coiling temperature, CT) จะอยู่ในช่วงประมาณ 550-710 °C   เหล็กแผ่นรีดร้อนที่ได้จะมีผิวสีเทาดำ หรือ เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า Black coil หรืออาจนำไปผ่านการกัดกรดและเคลือบน้ำมัน จะเรียกว่า Pickled and Oiled (P&O)

เหล็กแผ่นรีดร้อนสามารถนำไปใช้งานในลักษณะที่ไม่ต้องการคุณภาพผิวสูงนัก เช่น

–         นำไปพับเป็นเหล็กสำหรับงานโครงสร้าง เช่น เหล็กรูปตัว C (C-channel)

–         นำไปม้วนทำท่อขนาดเล็ก (Pipe and Tube) เช่น ท่อน้ำมัน

–         นำไปม้วนทำท่อขนาดใหญ่ (Spiral pipe) เช่น ท่อประปาขนาดใหญ่

–         นำไปถังแก๊สหุงต้ม

–         นำไปทำ Container

–         ใช้สำหรับอุตสาหกรรมต่อเรือ

–         ใช้ขึ้นรูปเป็นชิ้นส่วนยานยนต์

–         ใช้เป็นวัตถุดิบสำหรับการผลิตเหล็กแผ่นรีดเย็น

การรีดเย็นของเหล็กแผ่น (Cold Rolling of Flat Products)

การผลิตเหล็กแผ่นรีดเย็นจะใช้เหล็กแผ่นรีดร้อนชนิดม้วน (HR coil) เป็นวัตถุดิบในการผลิต โดยเริ่มจากการตัดส่วนปลายของม้วนเหล็กแผ่นรีดร้อนและทำการเชื่อม (Welding) เพื่อให้สามารถผ่านกระบวนการกัดกรด (Pickling) อย่างต่อเนื่องได้ จากนั้น เหล็กแผ่นรีดร้อน (Black coil) จะถูกทำให้เคลื่อนตัวผ่านเครื่องกำจัดสนิมเหล็กทางกล (Scale breaker) เพื่อให้สนิมที่ผิวแตกและง่ายต่อการกัดกรด เหล็กแผ่นที่ผ่าน Scale breaker จะถูกทำให้เคลื่อนตัวลงสู่อ่างกรดเพื่อทำการกัดสนิม (Pickling) เหล็กแผ่นที่ผ่านการกัดกรดขจัดสนิมแล้วจะมีสีขาวเทา ซึ่งจะผ่านเครื่องตัดขอบ (Side trimmer) เพื่อให้ขอบเรียบและลดการฉีกขาดจากขอบของเหล็กเมื่อทำการรีดลดขนาดปริมาณมาก เหล็กที่ผ่านการกัดขอบแล้วจะถูกนำไปรีดเย็นต่อเพื่อลดขนาดความหนาลง โดยการรีดเย็น (Cold rolling) จะทำที่อุณหภูมิห้อง (แตกต่างจากเหล็กแผ่นรีดร้อนซึ่งโดยทั่วไปรีดที่อุณหภูมิสูงกว่า 870 °C ซึ่งเนื้อเหล็กขณะรีดร้อนยังมีสีเหลืองและสามารถเกิดสนิมขณะรีดได้) เหล็กแผ่นที่ผ่านการรีดเย็นมาจะมีผิวที่มันกว่าเหล็กแผ่นรีดร้อนซึ่งมีผิวที่ด้าน     อย่างไรก็ตามเหล็กแผ่นที่ผ่านการรีดมายังมีความเครียดภายในเนื้อเหล็กเหลือค้าง ทำให้มีความแข็งสูง ความสามารถในการยืดตัว (Elongation) ต่ำ ตลอดจนมีความไม่สม่ำเสมอของคุณสมบัติเชิงกลในทิศทางต่างๆ สูงจึงไม่เหมาะแก่การใช้งานในลักษณะที่ต้องการนำไปขึ้นรูป จึงต้องผ่านการอบ (Annealing) เพื่อให้คลายความเครียดในเนื้อเหล็กลง เหล็กที่ผ่านการอบแล้วจะผ่านการรีดเย็นอีกเล็กน้อยโดยความหนาแทบไม่เปลี่ยนแปลง (Temper rolling) เพื่อปรับความเรียบ คุณภาพผิว และขจัดการยืดตัว ณ. จุดคลาก (Yield point elongation) ซึ่งช่วยให้เหล็กแผ่นแปรรูปได้อย่างสม่ำเสมอยิ่งขึ้น

เหล็กแผ่นรีดเย็นสามารถนำไปใช้งานในลักษณะที่ต้องการคุณภาพผิวสูงกว่าและความหนาต่ำกว่าเหล็กแผ่นรีดร้อน เช่น

–         นำไปทำเฟอร์นิเจอร์, เครื่องใช้ไฟฟ้า

–         ใช้สำหรับงานด้านยานยนต์

–         นำไปเคลือบดีบุกเพื่อทำเหล็กแผ่นสำหรับงานกระป๋องอาหาร เป็นต้น

Cr.www.metalth.wordpress.com

 

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า