โดย saweang | ก.พ. 11, 2020 | ข่าวสาร, บทความเกี่ยวกับเหล็ก
การปลูกสร้างบ้านด้วยตนเองยังมีเรื่องของกฎหมายเข้ามาเกี่ยวข้อง หากใครที่กำลังจะปลูกบ้านสักหลังลองมาดูกันก่อนว่าที่ดินที่ครอบครองอยู่เป็นอย่างไร สามารถปลูกสร้างบ้านแบบไหน และต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดอะไรบ้างเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาภายหลัง
HIGHLIGHTS
-
การถมดินที่มีพื้นที่เกินสองพันตารางเมตร หรือ มีพื้นที่เกินกว่าที่เจ้าพนักงานท้องถิ่นประกาศกำหนด ต้องแจ้งการถมดินนั้นต่อเจ้าพนักงานท้องถิ่นตามแบบที่เจ้าพนักงานท้องถิ่นกำหนด
-
กฎหมายจะบังคับให้ที่ดินในการปลูกสร้างบ้าน มีที่ว่างโดยรอบบ้านตั้งแต่ตัวอาคารจรดรั้วผนังด้านนอกตั้งแต่ 2 ม. ขึ้นไป และต้องมีที่ว่างรอบบ้านทั้งหมดรวมไม่ต่ำกว่า 30% ของที่ดินที่ปลูกสร้างบ้าน
ปัจจุบันมีโครงการบ้านเกิดขึ้นเยอะมาก จากการพัฒนาผังเมืองและเส้นทางคมนาคมต่างๆ ส่งผลให้มีผู้ประกอบการเข้ามาลงทุนบนทำเลแห่งอนาคตที่จะมีสิ่งอำนวยความสะดวกเกิดขึ้น หลายคนตัดสินใจควักกระเป่าให้กับบ้านจัดสรร เนื่องจากมีความสะดวกสบาย ไม่ต้องใช้ระยะเวลาหรือศึกษาข้อกำหนดต่าง ๆ ในการสร้างบ้าน
แต่ทั้งนี้เอง ก็ยังมีกลุ่มคนอีกจำนวนมากที่มีที่ดินครอบครองไว้ และคิดที่จะสร้างบ้าน สร้างที่อยู่อาศํยบนที่ดินของตัวเอง แต่ทีนี้ก็จับไม่ได้ไปไม่ถูก ว่าจะเริ่มต้นสร้างบ้านบนที่ดินตัวเองได้อย่างไร เพราะไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหน
ดังนั้นหากคุณมีที่ดินบนทำเลที่ดี ก็เหมาะที่จะสร้างบ้านของตัวเอง ซึ่งต้นทุนอาจจะต่ำกว่าซื้อบ้านจัดสรรบนทำเลเดียวกันก็ได้ และหากคุณพร้อมไปด้วยปัจจัยภายใน ทั้งเรื่องงบประมาณ ทำเล ความเป็นส่วนตัว ความปลอดภัยแล้ว
ก่อนจะทำการสร้างบ้าน ยังมีเรื่องของกฎหมายเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ซึ่งเชื่อมโยงไปถึงขนาดที่ดิน ประเภทที่ดินที่ครอบครองอยู่ ก่อนสร้างบ้านจึงต้องมาดูข้อกฎหมายที่ดินกันและการปลูกสร้างกันก่อนว่า ที่ดินแบบนี้ สามารถปลูกสร้างบ้านได้แบบไหน ต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดกฎหมายที่ดินอย่างไรบ้าง เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาภายหลัง
หากใครที่กำลังจะปลูกบ้านสักหลังลองมาดูกันก่อนว่าที่ดินที่ครอบครองอยู่เป็นอย่างไร สามารถปลูกสร้างบ้านแบบไหน และต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดอะไรบ้างเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาตามมา
ในแง่ของผู้ที่กำลังคิดจะซื้อที่ดินเปล่า หรือมีที่ดินในกรรมสิทธิ์ของตัวเอง ควรตรวจเช็คสภาพของที่ดินเป็นอันดับแรก หลายพื้นที่มักพบปัญหาที่ดินต่ำกว่าระดับถนนหรือไม่พบทางระบายน้ำ จำเป็นต้องมีการถมที่ดิน หรือ ขุดดินทำทางน้ำไหล โดยจำเป็นต้องทำตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร ตรงกับมาตรา 71 ว่าด้วยเรื่อง
“การก่อสร้างหรือดัดแปลงอาคารพักอาศัยประเภทบ้านเดี่ยวซึ่งมีพื้นที่ไม่เกิน 1,000 ตารางเมตร ตึกแถว ห้องแถว บ้านแถวหรือบ้านแฝด และอาคารชั่วคราว ให้แสดงแบบระบบบำบัดน้ำเสียของแต่ละหน่วย”
ซึ่งจำเป็นต้องทำ และการดำเนินการปรับปรุงที่ดินนั้นต้องกระทำภายใต้กฎหมายพระราชบัญญัติการขุดดินและการถมดิน พ.ศ. 2543 ประกอบด้วยมาตราที่เกี่ยวข้องหลักๆ ด้วยกัน 3 มาตรา คือ

- มาตราที่ 17 ผู้ใดประสงค์จะทำการขุดดิน โดยมีความลึกจากระดับพื้นดินเกิน 3 เมตร หรือมีพื้นที่ปากบ่อดินเกิน 10,000 ตารางเมตร หรือมีความลึกหรือพื้นที่ตามที่เจ้าพนักงานท้องถิ่นประกาศกำหนด ให้แจ้งต่อเจ้าพนักงานท้องถิ่น ตามแบบที่เจ้าพนักงานท้องถิ่นกำหนด
- มาตรา 24 การขุดดินโดยมีความลึกจากระดับพื้นดินไม่เกิน 3 เมตร เมื่อจะขุดดินใกล้แนวเขตที่ดินของผู้อื่นในระยะน้อยกว่าสองเท่าของความลึกของบ่อดินที่จะขุดดิน ต้องจัดการป้องกันการพังทลายของดินตามวิสัยที่ควรกระทำ
- มาตรา 26 ผู้ใดประสงค์จะทำการถมดินโดยมีความสูงของเนินดินเกินกว่าระดับที่ดินต่างเจ้าของที่อยู่ใกล้เคียง และมีพื้นที่ของเนินดินไม่เกินสองพันตารางเมตร หรือ มีพื้นที่ตามที่เจ้าพนักงานท้องถิ่นประกาศกำหนด ต้องจัดให้มีการระบายน้ำเพียงพอที่จะไม่ก่อให้เกิดความเดือดร้อนแก่เจ้าของที่ดินที่อยู่ข้างเคียงหรือบุคคลอื่น พื้นที่ที่เจ้าพนักงานท้องถิ่นประกาศกำหนดตามวรรคหนึ่ง ต้องไม่เกินสองพันตารางเมตร
การถมดินที่มีพื้นที่เกินสองพันตารางเมตร หรือ มีพื้นที่เกินกว่าที่เจ้าพนักงานท้องถิ่นประกาศกำหนดตามวรรคหนึ่ง นอกจากจะต้องจัดให้มีการระบายน้ำตามวรรคหนึ่ง ต้องแจ้งการถมดินนั้นต่อเจ้าพนักงานท้องถิ่นตามแบบที่เจ้าพนักงานท้องถิ่นกำหนด
เมื่อทำการปรับปรุงที่ดินที่จะขึ้นบ้านใหม่เสร็จ สิ่งที่เจ้าของบ้านจะต้องดูต่อไปในเรื่องการขออนุญาตเจ้าพนักงานท้องถิ่น ซึ่งต้องได้รับการอนุญาตก่อนจากเจ้าพนักงานก่อน หากเจ้าของที่ดินมีการว่าจ้างบริษัทสร้างบ้าน ส่วนใหญ่บริษัทสร้างบ้านจะเป็นคนดำเนินการในส่วนนี้ให้
หลังจากได้รับการอนุญาตในการสร้างบ้านแล้ว สิ่งต่อมาที่ควรคำนึงถึงก็คือพระราชบัญญัติการควบคุมอาคาร พ.ศ. 2544 ซึ่งส่วนใหญ่การสร้างบ้านขึ้นเอง จะต้องดูข้อกฎหมายหลักๆ ด้วยกัน 4 มาตรา ดังนี้
- มาตรา 36 “ที่ว่าง” หมายความว่า พื้นที่อันปราศจากหลังคาหรือสิ่งก่อสร้างปกคลุม ซึ่งพื้นที่ดังกล่าวอาจจะจัดให้เป็นบ่อน้ำ สระว่ายน้ำ บ่อพักน้ำเสีย ที่พักรวมมูลฝอยหรือที่จอดรถ ที่อยู่ภายนอกอาคารก็ได้ และให้ความหมายรวมถึงพื้นที่ของสิ่งก่อสร้างหรืออาคารที่สูงจากระดับพื้นดินไม่เกิน 1.20 เมตร และไม่มีหลังคาหรือสิ่งก่อสร้างปกคลุมเหนือระดับนั้น ซึ่งกฎหมายจะบังคับให้มีที่ว่างโดยรอบบ้านตั้งแต่ตัวอาคารจรดรั้วผนังด้านนอกตั้งแต่ 2 ม. เป็นต้นไป
- มาตรา 50 อาคารที่ก่อสร้างหรือดัดแปลงใกล้ถนนสาธารณะที่มีความกว้างน้อยกว่า 6 เมตร ให้ร่นแนวอาคารห่างจากกึ่งกลางถนนสาธารณะอย่างน้อย 3 เมตร มิให้มีส่วนของอาคารล้ำเข้ามาในแนวร่นดังกล่าว ยกเว้นรั้วหรือกำแพงกั้นแนวเขตที่สูงไม่เกิน 2 เมตร
- มาตรา 51 ที่ดินที่อยู่มุมถนนสาธารณะที่กว้างตั้งแต่ 3 เมตรขึ้นไปแต่ไม่เกิน 8 เมตร และมีมุมหักน้อยกว่า 135 องศา รั้วหรือกำแพงกั้นเขตต้องปาดมุมมีระยะไม่น้อยกว่า 4 เมตร และทำมุมกับแนวถนนสาธารณะเป็นมุมเท่าๆ กันห้ามมิให้รั้ว กำแพง หรือส่วนของอาคารยื่นล้ำเข้ามาในที่ดินส่วนที่ปาดมุม
- มาตรา 54 อาคารด้านชิดที่ดินเอกชน ช่องเปิด ประตู หน้าต่าง ช่องระบายอากาศ หรือริมระเบียงสำหรับชั้น 2 ลงมาหรือสูงไม่เกิน 9 เมตร ต้องอยู่ห่างเขตที่ดินไม่น้อยกว่า 2 เมตร และสำหรับชั้น 3 ขึ้นไปหรือสูงเกิน 9 เมตร ต้องห่างไม่น้อยกว่า 3 เมตร
- มาตรา 55 อาคารที่มีความสูงไม่เกิน 15 เมตร (บ้านเดี่ยวประมาณ 2 ชั้น) ต้องมีที่ว่างโดยรอบอาคารไม่น้อยกว่า 1 เมตร ยกเว้นบ้านพักอาศัยที่มีพื้นที่ไม่เกิน 300 ตารางเมตร อาคารที่มีความสูงเกิน 15 เมตร ต้องมีที่ว่างโดยรอบอาคารไม่น้อยกว่า 2 เมตร
- มาตรา 56 บ้านพักอาศัยที่มีพื้นที่ไม่เกิน 300 ตารางเมตร ให้ผนังด้านที่ไม่มีช่องเปิดสามารถสร้างห่างเขตที่ดินได้น้อยกว่า 1 เมตร ถ้าห่างเขตที่ดินน้อยกว่า 50 เซนติเมตร ต้องได้รับความยินยอมเป็นหนังสือจากเจ้าของที่ดินด้านนั้นด้วย

หากศึกษาข้อกฎหมายต่าง ๆ เหล่านี้เรียบร้อย ก็สามารถปลูกบ้านได้อย่างสบายใจโดยไม่ต้องห่วงปัญหาที่จะตามมาในภายหลัง
ทั้งนี้ก่อนขึ้นบ้านใหม่อาจจะเลือกแบบแปลนจากบริษัทรับสร้างบ้านที่ถูกออกแบบมาให้ถูกต้องตามกฎหมายแล้วก็ได้ แต่หากใครไม่มั่นใจหรือต้องการจะใช้ประโยชน์ที่ดินไปในรูปแบบอื่นๆ และตัดสินใจที่จะซื้อบ้านใหม่ก็สามารถเข้าไปชม รีวิวโครงการบ้านเดี่ยวใหม่ได้ที่นี่
ขอบคุณข้อมูลจาก DDproperty.com
เรื่องข้างต้นนี้เขียนโดย กิตติคม พจนี Content Writer ประจำ DDproperty.com หากมีคำถามเพิ่มเติมสามารถติดต่อได้ที่ kittikom@ddproperty.com
โดย saweang | ก.พ. 7, 2020 | ข่าวสาร, บทความเกี่ยวกับเหล็ก
หนึ่งในไม้ประดับที่ฮิตนำมาเพาะเลี้ยง ขยายพันธุ์ ก็คือต้นเคราฤาษี หรืออีกชื่อหนึ่งเรียกว่า มอสสเปน โดยเฉพาะช่วงที่ภาวะฝุ่นมลพิษ PM 2.5 บุกเมือง พบว่าต้นเคราฤาษีจะช่วยดูดซับโลหะหนักและช่วยกรองลดฝุ่นละอองเข้าบ้านได้ เป็นวิธีสร้างสภาวะแวดล้อมบ้านน่าอยู่จากธรรมชาติได้ดี
วิธีปลูกต้นเคราฤาษี

ต้นเคราฤาษีมีต้นเป็นสีเขียวเทา ลักษณะใบเป็นเส้น ๆ ห้อยลงสู่พื้น คล้ายหนวดฤาษี สามารถออกดอกได้แต่ดอกจะเล็กมาก และมีอายุเพียง 2-3 วันเท่านั้น
วิธีปลูกต้นเคราฤาษี ค่อนข้างง่าย ไม่ต้องใส่ปุ๋ยหรือดูแลรักษามากนัก เพราะรากที่มีของต้นเคราฤาษีนั้นมีไว้เพียงเพื่อยึดเกาะเท่านั้น แต่ไม่ใช่ตัวนำทางอาหารเหมือนต้นไม้อื่น ๆ โดยต้นเคราฤาษีสามารถอยู่ได้ด้วยการกินอาหารในอากาศทำให้สามารถดูแลตัวเองได้นั่นเอง แต่ถ้าอยากใส่ปุ๋ยให้เจริญงอกงามก็สามารถทำได้ด้วยการพรมละอองปุ๋ยใส่สัก เดือนละครั้ง
เทคนิคการเลี้ยงต้นเคราฤาษี
– ควรแขวนในบริเวณที่มีอากาศถ่ายเทได้สะดวก มีลมพัด แสงแดดรำไร
– ต้นเคราฤาษีเป็นต้นไม้ต้องการน้ำ แนะนำให้รดเป็นละอองทุกวัน ในกรณีที่ฝนไม่ตก
– การให้ปุ๋ย สามารถทำได้โดยใส่ปุ๋ยผสมน้ำ ไม่ต้องเข้มข้นมาก วิธีเดียวกับที่ฉีดใส่กล้วยไม้ ให้ปุ๋ยเดือนละครั้ง ก็เพียงพอค่ะ
– ต้นเคราฤาษีต้องการ น้ำ ลม และแสงแดด
การขยายพันธุ์สามารถทำได้ง่ายๆ โดย เพียงเด็ดลำต้นที่ห้อยระย้า มาแขวนบนกิ่งไม้ หรือคาคบไม้ หรือวัสดุปลูกอย่างอื่น รดน้ำวันเว้นวัน แขวนไว้ในจุดที่มีลมถ่ายเท แสงแดดรำไร เพียงแค่นี้เคราฤาษีจะงอกงาม
ทำความรู้จักต้นเคราฤาษีให้มากขึ้น
เคราฤาษี หรือ มอสสเปน มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Tillandsia usneoides เป็นพืชในวงศ์สับปะรด ไม่มีราก ลำต้นห้อยย้อยลงมาจากคาคบไม้เป็นสายยาว เป็นเส้นเล็ก ๆ เวลาออกดอกกลิ่นหอมอ่อน ๆ พืชชนิดนี้ดูดน้ำโดยทางใบซึ่งมีสีเทาเงิน ต้นเคราฤาษีนั้นเป็นต้นไม้อากาศที่แขวนไว้แล้วจะดูดอาหารและแร่ธาตุจากอากาศ
และดูดน้ำจากน้ำค้างหรือน้ำฝนที่มาเกาะ จึงมักเลี้ยงเป็นไม้ประดับตกแต่งสวนเพื่อความสวยงาม แต่ทั้งนี้หนวดฤาษีอยู่ได้ด้วยการกินอาหารในอากาศ โดยปลูกด้วยการใส่กระถางแล้วนำไปแขวนไว้ตามจุดต่าง ๆ รอบๆ บ้าน
ช่วยดูดซับความชื้นที่ปนเปื้อนฝุ่น ปนเปื้อนสารเคมีในอากาศได้ดีกว่าใช้ผ้าม่าน หรือผ้าพลาสติก แถมยังกลายเป็นม่านป้องกันความร้อนจากแสงแดดได้ด้วย นอกจากนี้ ด้วยคุณสมบัติไม่ติดไฟ ทำให้เหมาะนำมาทำเป็นวัสดุในอุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์อย่างเช่น นำมาทำเป็นไส้ในเบาะนั่งในรถยนต์หรือโซฟาแทนฟางข้าวหรือเยื่อเปลือกมะพร้าวอีกด้วย
ขอบคุณข้อมูลจากhttps://decor.mthai.com/
โดย saweang | ก.พ. 7, 2020 | ข่าวสาร, บทความเกี่ยวกับเหล็ก
ศรษฐกิจแบบนี้ อะไรประหยัดได้ก็ควรประหยัดใช่ไหมคะ? ยิ่งหากมีโครงการสร้างหรือ รีโนเวทบ้าน ในฝัน คงต้องเตรียมเงินไว้ประมาณหนึ่งเลย เราจึงรวบรวมทิปส์ วิธีคิด กลยุทธ์บางอย่างในการลดค่าใช้จ่ายมาฝากกัน โดยเราจะควบคุมค่าใช้จ่ายกันอย่างมีคุณภาพ ไม่ใช่การตัดทุกอย่างจนผลลัพธ์คือได้บ้านที่ไม่มีมาตรฐาน แต่เราจะพยายามหาวิธีทดแทนหรือหาทางประหยัดขึ้นเล็กๆ น้อยๆ ถ้าอยากรู้แล้วว่าคนใช้เงินเป็นเค้ามีวิธีบริหารเงินสำหรับการรีโนเวทบ้านอย่างไร ก็มาดูกันเลยดีกว่า
8 สิ่งควรทำเมื่อคิดจะ รีโนเวทบ้าน

จัดเก็บและจัดการก่อนตัดสินใจรีโนเวท
ห้องบางห้องแค่จัดเก็บ ก็เพิ่มพื้นที่ได้มากขึ้นด้วยเฟอร์นิเจอร์ใหม่ๆ ก็อาจจะดูแปลกตาและได้ผลเทียบเท่ากับการรีโนเวท เช่น ห้องน้ำหรือห้องครัว เพราะข้าวของที่มากมายก่ายกองอาจทำให้ลำบากต่อการทำความสะอาด ทำให้ห้องโทรมกว่าความเป็นจริง ลองเริ่มด้วยการเปลี่ยนตู้หรือลิ้นชัก จัดของให้เป็นหมวดหมู่และทำความสะอาดใหญ่ซักครั้งสิ แล้วคุณอาจจะพบผลลัพธ์ที่ไม่น่าเชื่อเลยล่ะ
เลือกเก็บวัสดุที่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่
คุณสามารถประหยัดเงินก้อนใหญ่ด้วยการใช้วัสดุรีไซเคิล ลองเช็กวัสดุอุปกรณ์ในบ้าน เช่น ระบบไฟ ประตู หน้าต่างหรือไม้ที่สามารถนำมาใช้ใหม่ โดยสามารถใช้ความคิดสร้างสรรค์มาดัดแปลงฟังก์ชั่นการใช้งานที่แตกต่างออกไปจากเดิม นอกจากจะประหยัดแล้ว ยังสามารถลดการทิ้งขยะ ช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมได้อีกด้วย
ปรึกษาผู้รับเหมา
ถามผู้รับเหมาเกี่ยวกับวัสดุที่พวกเขามี หรือเหลือใช้จากการทำงานโปรเจ็กต์อื่น เพราะวัสดุเหล่านี้คุณอาจซื้อต่อได้ในราคาที่ถูกอย่างเหลือเชื่อเลยล่ะ
เลือกใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าที่ประหยัดพลังงาน
เลือกอุปกรณ์ที่จะช่วยประหยัดไฟและให้แสงสว่างมาก เช่น ไฟเพดาน ออกแบบในการวางแต่ละจุดอย่างรอบคอบและมีประสิทธิภาพมากที่สุด เพื่อลดอุปกรณ์และค่าแรงในการเดินสายไฟและหุ้มฉนวน
ลงมือทำเองในบางส่วน
สเกลงานเล็กๆ บางอย่างก็ไม่ต้องพึ่งผู้รับเหมาเสมอไป เราสามารถแบ่งมาทำเองได้ภายในครอบครัว เช่น การทาสี หรือติดตั้ง ตกแต่งอะไรเล็กๆ น้อยๆ โดยเฉพาะวิธี D.I.Y. มากมายที่มีอยู่ในเว็บของเรา ลองหาอ่านและนำไปใช้กันได้เต็มที่เลยนะคะ
สร้างใหม่อาจประหยัดกว่ารีโนเวท
ในบางกรณี การรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างทั้งหมดแล้วสร้างทุกอย่างขึ้นมาใหม่อาจประหยัดกว่าการรีโนเวท เพราะวัสดุทุกอย่างมีอายุขัยของมัน การรีโนเวทอาจดูเหมือนใช้จ่ายน้อยในตอนแรก แต่ปัญหาและค่าบำรุงรักษาในอนาคตคือสิ่งที่ควรจะกังวล เพราะมันจะไม่จบแค่การแก้ครั้งเดียว แต่หมายถึงตลอดไป
หลีกเลี่ยงการย้ายท่อ
ระบบน้ำภายในบ้าน หากต้องการประหยัด การหลีกเลี่ยงไม่ย้ายบางส่วนหรือยุ่งกับมันคือทางเลือกที่น่าสนใจ เพราะวงจรทุกอย่างที่ออกแบบมาครบแล้วอาจจะต้องรื้อใหม่ทั้งหมดจากการต้องการเปลี่ยนแค่เพียงจุดเดียว ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับความคุ้มค่าและความสะดวกสบายต่อการใช้งานในชีวิตจริงด้วยนะคะ หากจำเป็นต้องเปลี่ยนจริงๆ ก็ต้องยอมลงทุน ซื้อความสะดวกสบายต่อการอยู่อาศัยในระยะยาว
คำนึงถึงขนาดมาตรฐาน
หลีกเลี่ยงการใช้เฟอร์นิเจอร์ที่ออกแบบเฉพาะ พรีเมี่ยม เพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย เลือกใช้วัสดุที่มีมาตรฐานในขนาดที่เป็นมาตรฐาน เช่น ประตู หน้าต่าง เพราะนอกจากวัสดุรูปแบบเฉพาะจะมีราคาแพงแล้ว การหาอะไหล่ยังยุ่งยากและต้องสั่งทำอีกด้วย
ที่มาจาก www.kidspot.com.au
โดย saweang | ก.พ. 7, 2020 | ข่าวสาร, บทความเกี่ยวกับเหล็ก
ลายคนคงตระหนักถึงฝุ่นละอองที่กระจายอยู่ในอากาศ ไม่เพียงเฉพาะช่วงนี้ที่สภาพอากาศเลวร้ายลง เนื่องจากค่าฝุ่นละออง PM2.5 เพิ่มสูงขึ้น แต่ยังรวมไปถึงก่อนหน้านี้ พวกเราก็ประสบปัญหากับฝุ่นละอองและมลพิษทางอากาศกันอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นควันจากท่อไอเสียรถยนต์ ควันจากโรงงานอุตสาหกรรม หรือการเผาไหม้ต่างๆ นอกจากเราจะต้องเผชิญกับฝุ่นละอองเหล่านี้นอกบ้านแล้ว กลับมาบ้านเรายังต้องสัมผัสกับฝุ่นละอองเหล่านี้อย่างเลี่ยงไม่ได้ วันนี้เราจะมาแนะนำต้นไม้ที่สามารถปลูกในบ้านได้ เพื่อช่วยดูดซับฝุ่นละอองและฟอกอากาศกันค่ะ
ต้นยางอินเดีย (Rubber Plant)
รูปภาพจาก: katrinaleechambers.com
ต้นยางอินเดีย เป็นต้นไม้ที่นิยมนำมาปลูกไว้ในบ้านเป็นไม้ประดับ ด้วยลักษณะใบที่มีความสวยงามโดดเด่น ใบมีรูปร่างกลมมน ผิวใบมันเงา หลังใบมีทั้งที่เป็นสีเขียวและสีแดงเข้ม การดูแลต้นยางอินเดียไม่ยุ่งยาก เพียงแต่ไม่ควรวางต้นยางอินเดียไว้ในตำแหน่งที่โดนแสงแดดจัดเกินไป หรืออุณหภูมิสูงเกินไป เหมาะกับการอยู่ในที่แสงแดดรำไร การรดน้ำไม่ควรรดจนดินชุ่ม รดน้ำอย่างมากวันละ 1 ครั้งก็เพียงพอ ต้นยางอินเดียช่วยในการดูดซับฝุ่นละอองและรวมถึงสารก่อมะเร็งอย่างสารฟอร์มาดีไฮด์ในอากาศได้อีกด้วย
ตีนตุ๊กแก (English Ivy)
รูปภาพจาก: housebeautiful.com
ต้นตีนตุ๊กแกเป็นต้นไม้อีกหนึ่งชนิดที่สามารถดูดซับฝุ่นละอองได้อย่างดีเยี่ยม นอกจากนี้ยังช่วยลดปริมาณสารฟอร์มาดีไฮด์และสารเบนซีนในอากาศ ซึ่งเป็นสารที่ก่อให้เกิดมะเร็ง รวมทั้งยังมีสรรพคุณช่วยเกี่ยวกับโรคหอบหืดและโรคหลอดลมอักเสบ รวมถึงอาการแพ้ต่างๆ ได้ ต้นตีนตุ๊กแกเป็นไม่เลื้อยที่สามารถปลูกในบ้านได้โดยการปลูกลงกระถางที่มีโครงหรือเสาแนวตั้งเพื่อให้ต้นเลื้อยขึ้นไป ในการปลูกระยะแรก ควรรดน้ำให้ดินชุ่มชื้นอยู่เสมอเพื่อให้ต้นหยั่งรากแข็งแรงก่อน เมื่อต้นแข็งแรงดีแล้วจะสามารถทนแล้งได้ดี และไม่ต้องการการดูแลมาก
ลิ้นมังกร (Snake Plant)
ลิ้นมังกรเป็นต้นไม้ที่มีถิ่นกำเนิดจากแถบแอฟริกาตะวันตก ถือเป็นต้นไม้ที่มีความทนทานสูง ขยายพันธุ์ได้ง่าย ลักษณะใบตั้งตรง แบน การดูแลไม่ยุ่งยาก เพียงวางไว้ในที่ที่ไม่โดนแสงแดดโดยตรง ไม่ควรรดน้ำบ่อยเกินไป ควรปล่อยให้ดินแห้งบ้าง สำหรับการปลูกในกระถาง สามารถใส่ปุ๋ยเพื่อเพิ่มสารอาหารให้ต้นลิ้นมังกรได้ นอกจากจะดูแลง่ายแล้ว ต้นลิ้นมังกรยังเป็นพืชที่แนะนำให้ปลูกในบ้าน เพราะช่วยลดฝุ่นละออง และดูดซับสารพิษในอากาศได้ดี
เดหลี (Peace Lily)
รูปภาพจาก: groomandstyle.com
เดหลี เป็นพืชที่ช่วยดูดซับฝุ่นละอองเช่นกัน รวมไปถึงสารพิษอย่าง สารฟอร์มาดิไฮด์ เบนซีน อะซิโตน ไตรคลอโรเอทีลีน เป็นต้น ลักษณะใบมีสีเขียวเข้มเป็นมัน มีร่องใบชัดเจน ให้ดอกสีขาวคล้ายดอกหน้าวัว ต้นเดหลีเป็นไม้พุ่มที่ชอบแสงแดดรำไร และต้องการความชื้นสูง ควรฉีดน้ำเพื่อให้ความชื้นบริเวณใบ และควรเช็ดฝุ่นละอองบนผิวหน้าของใบบ่อยๆ ข้อควรระวังคือ ต้นเดหลีเป็นพิษต่อสัตว์เลี้ยงและคน ควรปลูกให้ห่างจากมือเด็กๆ และสัตว์เลี้ยงด้วยนะคะ
หมากเหลือง (Butterfly Palm)
รูปภาพจาก: groomandstyle.com
นอกจากเรื่องการดูดซับฝุ่นละอองแล้ว ต้นหมากเหลืองยังได้ชื่อว่าเป็นต้นไม้ที่ช่วยดูดซับสารพิษที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ ทั้งสารทูโลอีนและสารไซลีนได้ดีที่สุด ต้นหมากเหลืองสามารถคายไอน้ำออกมาเป็นจำนวนมาก จึงเหมาะกับการปลูกในพื้นที่ที่มีอากาศค่อนข้างแห้ง เป็นพืชที่ค่อนข้างทนกับสภาพอากาศภายในอาคาร แต่จะดีที่สุดหากอยู่ในสภาพอากาศชื้น หากอากาศแห้งเกินไปปลายใบของต้นหมากเหลืองจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล ดังนั้นการดูแลต้นหมากเหลืองจึงต้องรดน้ำและฉีดน้ำที่ใบให้เพียงพอเพื่อให้เกิดความชื้นอยู่เสมอ
จั๋ง (Lady Palm)
รูปภาพจาก: mycityplants.com
ต้นจั๋งเป็นพืชที่อยู่ในตระกูลปาล์ม ช่วยดูดซับฝุ่นละอองและสารพิษเช่นกัน ซึ่งต้นปาล์มแต่ละชนิดต้องการการดูแลที่แตกต่างกัน ต้นจั๋งถือเป็นปาล์มที่มีความทนทานสูง เหมาะกับการนำมาปลูกในบ้าน ต้นจั๋งเป็นพืชที่โตช้า ชอบแดดรำไร และทนต่อโรคแมลงต่างๆ แต่ถ้าหากขาดน้ำนานเกินไป หรืออยู่ในที่อากาศแห้งจะทำให้ปลายใบเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลคล้ายต้นหมากเหลือง จึงต้องคอยดูเรื่องความชิ้นให้เพียงพอ และรดน้ำให้มากขึ้นในฤดูหนาว
ปาล์มไผ่ (Bamboo Palm)

รูปภาพจาก: jaderbomb.com
ปาล์มไผ่ เป็นปาล์มอีกหนึ่งชนิดที่นิยมนำมาปลูกในบ้าน ลักษณะใบเรียวยาว สีเขียวเป็นมัน ออกใบคู่กันบนก้านคล้ายต้นไผ่ ต้นปาล์มไผ่จัดเป็นพืชที่ช่วยเรื่องฟอกอากาศจากฝุ่นละออง รวมทั้งสารพิษโดยเฉพาะสารฟอร์มาดีไฮด์และสารเบนซีนในอากาศ คายความชื้นสูงเหมาะกับการเพิ่มความชื้นภายในห้อง เป็นพืชโตช้า การดูแลไม่ยุ่งยาก ต้นปาล์มไผ่ชอบที่ที่มีแสงสว่างเพียงพอแต่ไม่ต้องโดนแดดจัด เมื่อนำมาปลูกในบ้านระยะแรก ใบของต้นปาล์มไผ่ที่ติดมากับต้นแต่แรก จะทยอยแห้งตาย เป็นการปรับตัวของต้นปาล์มไผ่ให้เข้ากับสภาพอากาศใหม่ๆ ให้เด็ดไปที่แห้งทิ้งและรอใบใหม่งอกออกมา
ฟิโลเดนดรอน (Philodendron)
รูปภาพจาก: katrinaleechambers.com
ฟิโลเดนดรอน เป็นพืชที่มีด้วยกันหลากหลายชนิด แต่ละชนิดก็มีรูปร่างหน้าตาแตกต่างกันออกไป เช่น ฟิโลมรกตแดง ฟิโลใบหัวใจ ฟิโลหูช้าง เป็นต้น เป็นพืชที่ดูแลง่าย โตเร็ว และฟอกอากาศในบ้านจากฝุ่นละอองและสารพิษต่างๆ ได้เป็นอย่างดีตลอดปี ฟิโลเดนดรอนเป็นพืชที่สามารถเลี้ยงได้ในพื้นที่ที่มีแสงปานกลางไปจนถึงพื้นที่ที่มีแสงน้อย หลีกเลี่ยงการโดนแสงโดยตรง เพราะจะทำให้ใบไหม้และไม่เจริญเติบโต สำหรับการปลูกในบ้าน พยายามฉีดละอองน้ำบริเวณใบเพื่อเพิ่มความชื้นและเช็ดฝุ่นละอองออกจากหน้าใบอยู่เสมอ รดน้ำให้ชื้นแต่ไม่ต้องชุ่มเกินไป ในระหว่างที่ต้นกำลังเติบโต ผสมปุ๋ยกับน้ำและฉีดไปที่ต้นหนึ่งครั้งต่อสองสัปดาห์
เฟิร์นบอสตัน (Boston Fern)
รูปภาพจาก: groomandstyle.com
จากการศึกษาพบว่า เฟิร์นบอสตันเป็นพืชที่สามารถกำจัดสารฟอร์มาดิไฮด์ในอากาศได้ดีที่สุด ต้นเฟิร์นบอสตันสามารถสูงได้ถึง 4 ฟุตและก้านใบแผ่ออกคล้ายขนนกยาวได้ถึง 5 ฟุต นิยมปลูกในกระถางแขวนหรือตั้งบนชั้นก็ได้ ต้นเฟิร์นบอสตันชอบสภาพอากาศเย็น ในที่สว่างแต่ห้ามโดนแสงแดดโดยตรง รดน้ำให้ดินชื้นและฉีดพรมให้ทั่วเพื่อให้เฟิร์นบอสตันมีความชุ่มชื้น และเพื่อไม่ให้ใบแห้งเป็นสีน้ำตาล ควรเปลี่ยนกระถางเมื่อต้นและรากขยายใหญ่ขึ้นเพื่อให้ต้นเฟิร์นบอสตันเติบโตได้ต่อไป
นอกจากต้นไม้เหล่านี้จะมีฟอร์มที่สวยงาม ทำให้นำมาตกแต่งบ้านเพิ่มพื้นที่สีเขียวได้แล้ว ยังช่วยในการกรองฝุ่นละอองและฟอกสารพิษในอากาศให้บ้านเราได้ดีอีกด้วยนะคะ แต่หากยังรู้สึกว่าฝุ่นละอองในอากาศยังมีปริมาณสูงและส่งผลต่อร่างกายของเราและคนในครอบครัว โดยเฉพาะคนที่มีปัญหาเกี่ยวกับโรคทางเดินหายใจอยู่แล้ว ควรสวมหน้ากากกรองฝุ่นละออง และใช้เครื่องฟอกอากาศภายในบ้าน วิธีนี้สามารถช่วยลดปริมาณฝุ่นละอองได้ดีเลยล่ะค่ะ
ขอบคุณข้อมูลจากhttps://www.officemate.co.th/
โดย saweang | ก.พ. 7, 2020 | บทความเกี่ยวกับเหล็ก
สิ่งที่ขาดไม่ได้ในบ้านคือห้องนอน เพราะเป็นที่ที่ใช้พักผ่อนให้เรามีแรงในการทำงานวันถัดไป ซึ่งตามหลักฮวงจุ้ยแล้ว ห้องนอนที่ดีจะส่งเสริมพลังงานดี ทำให้เรามีภูมิต้านทานที่แข็งแรง ตื่นนอนมาสดใส มีแรงไปทำงาน และแน่นอนเมื่อเราไปทำงานด้วยความรู้สึกที่ดีแล้ว หน้าที่ต่างๆ ก็จะสำเร็จลุล่วงได้ไม่ยาก ส่งผลให้เงินทองไหลมาเทมา
แต่ในขณะเดียวกัน ถ้าคุณพบว่าหลังจากนอนแล้ว ร่างกายยังอ่อนเพลีย เจ็บป่วยเล็กๆ น้อยๆ อยู่บ่อยๆ หรือมีอารมณ์หงุดหงิดง่ายจนเป็นอุปสรรคในการทำงาน การจัดห้องให้ตรงตามฮวงจุ้ยห้องนอนอย่างที่เรารวบรวมไว้ข้างล่างนี้สามารถช่วยคุณได้แน่นอน

ฮวงจุ้ยห้องนอนกับทิศทางของเตียง
อันดับแรกที่จะพูดถึง ฮวงจุ้ยห้องนอน คือ เรื่องของทิศทางห้องนอนและเตียงนอน โดยตำแหน่งของห้องนอนนั้นไม่ควรมีห้องน้ำอยู่ด้านบนห้องหรืออยู่เหนือตำแหน่งเตียง เพราะห้องน้ำถือเป็นที่ระบายสิ่งสกปรก ซึ่งตามหลักฮวงจุ้ยห้องนอนแล้วผู้อาศัยจะได้รับพลังงานลบ เหมือนได้รับของเสียจากห้องน้ำอยู่เป็นประจำ
ส่วนการจัดประตูห้องนอนก็ควรใช้หลักเดียวกัน นั่นคือห้ามอยู่ตรงกับประตูห้องน้ำเด็ดขาด เนื่องจากพลังงานที่แย่จากห้องน้ำจะเข้ามาชนกับประตูห้องนอน นอกจากนี้หลังกำแพงห้องนอนยังไม่ควรเป็นห้องน้ำ ห้องครัว ห้องเก็บของ หรือเป็นระเบียงที่มีคนเดินผ่าน เพราะสิ่งเหล่านี้มีพลังงานด้านลบ ส่งผลต่อสุขภาพ ทำให้เป็นโรคเกี่ยวกับระบบหัวใจและหลอดเลือด และผู้อาศัยมักเป็นคนที่มีอารมณ์รุนแรง โดยเฉพาะถ้าหลังห้องนอนเป็นระเบียงทางเดิน จะทำให้เป็นคนที่หงุดหงิดง่าย ไม่มีสมาธิในการทำงาน

ตามหลักฮวงจุ้ยห้องนอน ควรวางเตียงไว้ทิศไหน?
ตามหลักฮวงจุ้ยห้องนอนแล้ว เชื่อว่าการวางเตียงในแต่ละทิศนั้นจะส่งผลต่อการดำรงชีวิตของผู้อยู่อาศัย โดยแต่ละทิศจะให้คุณที่ต่างกันออกไป ดังนี้
ทิศเหนือ จะช่วยในเรื่องของความสามารถในการรับรู้ตามสัญชาตญาณ
ทิศใต้ จะช่วยให้เป็นคนมีชื่อเสียงที่ดี มีหน้ามีตา มีเกียรติในสังคม
ทิศตะวันออก จะช่วยทำให้นอนหลับสนิท มีความสงบในการพักผ่อน
ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ จะเสริมการทำงานที่ดี โดยเฉพาะการทำงานเกี่ยวกับการค้นคว้าวิจัย หรือการทดลองต่างๆ
ทิศตะวันออกเฉียงใต้ จะช่วยทำให้เป็นคนที่มีความขยันพากเพียร มีความอดทนในการทำงานมากขึ้น
ทิศตะวันตก ส่งเสริมให้มีลูกดก เหมาะสำหรับคู่สามีภรรยาที่ต้องการมีลูก
ทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ส่งเสริมการมีบริวาร มีเพื่อนฝูงและคนรู้จักมาก
ทิศตะวันตกเฉียงใต้ จะช่วยในเรื่องของความรักทำให้ราบรื่นและสมหวัง

ฮวงจุ้ยห้องนอนกับเรื่องโชคลาภ เงินทอง และ สุขภาพ
นอกจากทิศทางของห้องนอนและเตียงนอนที่ได้กล่าวมาข้างต้น ยังมีการจัดตำแหน่งเตียงที่ช่วยเสริมเรื่องโชคลาภ เงินทอง และ สุขภาพ ตามหลักฮวงจุ้ยห้องนอนอีกด้วย โดยสามารถแบ่งฮวงจุ้ยห้องนอนเป็นข้อควรทำ และ ข้อควรหลีกเลี่ยง
ข้อควรทำ (ฮวงจุ้ยห้องนอนที่ดี) เฮงๆ รวยๆ
• ควรจัดหัวเตียงนอนให้เยื้องจากประตู ในเชิงฮวงจุ้ยจะทำให้ได้รับแต่พลังงานดี โชคลาภ ทำงานราบรื่น อุปสรรคน้อย ในเชิงจิตวิทยาการจัดเตียงนอนเช่นนี้ จะทำให้รู้สึกปลอดภัยเพราะเห็นว่าใครเข้าออกจากห้องนอนบ้าง
• หัวเตียงควรติดกำแพง หรือไม่ควรปล่อยให้หัวเตียงมีพื้นที่ว่างมากเกินไป เพราะจะทำให้รู้สึกไม่ปลอดภัย ฝันไม่ดีบ่อย ร่างกายอ่อนแอ นอกจากนี้ตามหลักฮวงจุ้ยห้องนอนแล้ว กำแพงยังเป็นตัวเสริมพลังงานที่ดีอีกด้วย
• ความสูงของเตียงนอน ในปัจจุบันเตียงนอนส่วนใหญ่มักสูงจากพื้นประมาณ 2 ฟุตกว่า ซึ่งถือว่าเป็นความสูงในระดับพอดี ตกลงมาไม่เป็นอันตราย ส่วนเตียงที่ติดกับพื้น มีโอกาสรับฝุ่นมาก และป่วยเป็นโรคง่าย ถือว่าไม่ดีตามหลักฮวงจุ้ยห้องนอน
• ชนิดฟูก ให้คำนึงถึงความสบายเป็นหลักมากกว่าราคา เพราะถ้าเลือกฟูกที่หลับสบายแล้ว จะทำให้นอนอย่างมีประสิทธิภาพ และมีพลังงานฮวงจุ้ยที่ดีเต็มเปี่ยม ส่งเสริมให้มีสุขภาพแข็งแรง

ข้อควรหลีกเลี่ยง (ฮวงจุ้ยห้องนอนไม่ดี) ทรัพย์อาจจางหาย
• เตียงนอน ตามหลักฮวงจุ้ยห้องนอนแล้วไม่ควรวางตรงกับประตูห้อง โดยเฉพาะการหันหัวเตียงหรือท้ายเตียงไปตรงกับประตู เนื่องจากประตูเปรียบเสมือนปากทางพลัง ทั้งพลังงานร้ายและพลังงานดีที่จะพุ่งเข้าชนขอบประตู ทำให้ป่วยบ่อย เหนื่อยง่าย หรือเกิดอุบัติเหตุเล็กๆ น้อยๆ อยู่บ่อยๆ
• คานบ้านไม่ควรตรงกับเตียงนอน เพราะตามหลักฮวงจุ้ยนั้นเชื่อว่าผู้อยู่อาศัยจะรู้สึกเหมือนถูกกดทับ กดดัน ตลอดเวลาที่นอนหลับพักผ่อน
• ห้ามวางหัวเตียงตรงกับที่ประตูเปิด เพราะจะส่งผลกระทบเชิงลบต่อชีวิตประจำวัน มักมีอุปสรรคและป่วยง่าย
• ไม่ควรวางเตียงนอนไว้ที่โล่งๆ โดยเฉพาะเตียงที่มีพื้นที่โล่งทั้ง 4 ด้าน เพราะจะทำให้เราเกิดความรู้สึกไม่ปลอดภัยเป็นอย่างมาก
• ไม่ควรวางเตียงไว้ระหว่างหน้าต่างกับประตู เพราะตามหลักฮวงจุ้ยห้องนอนแล้วการวางแบบนี้จะทำให้เราถูกดูดพลังงานไปในขณะนอนหลับพักผ่อน ทำให้พักผ่อนไม่เพียงพอ สุขภาพอ่อนแอ หากหลีกเลี่ยงไม่ได้ควรแก้ไขด้วยการให้ติดม่านที่หน้าต่าง
การตกแต่งและสีห้องนอนตามหลักฮวงจุ้ยห้องนอน
มาถึงเรื่องการตกแต่งและสีของห้องนอนกันบ้าง ว่าเราควรจัดห้องและทาสีอย่างไรให้มีสุขภาพที่ดี มีเงินทองไหลมาเทมา และมีความสุขตามหลักฮวงจุ้ยห้องนอนที่ดี
• ห้องนอนสีม่วงอ่อน ห้องนอนสีนี้เป็นแหล่งการรับจิตวิญญาณที่ดี เป็นสีแห่งความสำเร็จและความปรารถนาดี รวมทั้งมีหน้าที่การงานที่ดีตามมาด้วย
• ห้องสีครีม เป็นห้องที่ช่วยในการฟื้นฟูสุขภาพและความมั่นคงทางอารมณ์ทำให้สุขภาพของคุณแข็งแรงเหมาะแก่สำหรับผู้ป่วยหรือผู้สูงอายุ ที่จะทำให้แข็งแรงเร็ววันเร็วคืน
• ห้องนอนสีชมพู เป็นสีที่เรียบง่ายเหมาะแก่การเยียวยาความยากจนให้หมดไป จึงทำให้สีนี้เป็นสีมงคลตามหลักฮวงจุ้ย ซึ่งจะทำให้ร่ำรวย เงินทอง รวมถึงช่วยเรื่องการเรียนให้ดีมากขึ้น
• ห้องสีเขียว ตามหลักฮวงจุ้ยห้องนอนแล้วสีเขียวเป็นสีแห่งการเจริญเติบโตเหมือนใบไม้ผลิในฤดูฝน เมื่อคุณนอนอยู่หรือว่าจะอาศัยภายในห้องนี้จะมีสุขภาพดีและมีความเจริญรุ่งเรืองมีโชคลาภและความมั่งคั่งในหน้าที่การงานและเงินทองไหลมาเทมาอย่างต่อเนื่อง
• ห้องสีชมพูอมส้ม สีนี้เป็นสีที่ดึงดูดและมีเสน่ห์ทางเพศ จะเด่นเรื่องความรักความสัมพันธ์ เหมาะสำหรับคนโสดที่ต้องการหาคู่เป็นอย่างยิ่ง
• ห้องสีม่วง เป็นสีแห่งความสำเร็จตามหลักฮวงจุ้ย นอกจากนี้ยังส่งเสริมผู้อยู่อาศัยให้มีหน้าที่การงานดี สุขภาพแข็งแรง มีความรุ่งเรือง รวมถึงโชคลาภและความมั่งคั่งทางการเงิน

ฮวงจุ้ยห้องนอนกับสีของปีนักษัตรทั้ง 12
นอกจากสีห้องจะมีความหมายตามหลักฮวงจุ้ยห้องนอน รู้หรือไม่ว่าแต่ละปีนักษัตรนั้นจะมีสีที่เหมาะสมหรือถูกโฉลกไม่เหมือนกัน ซึ่งทางเราก็รวบรวมสีที่เหมาะของปีนักษัตรทั้ง 12 มาให้ทุกคนได้อ่านกันแล้ว ดังนี้
• ปีหนู สีที่ถูกโฉลกและการทาห้องนอนของคุณ ได้แก่ สีขาว สีฟ้า สีเทา และสีดำ
• ปีวัว สีที่ถูกโฉลกสำหรับการตกแต่งห้องของคุณ ได้แก่ สีม่วง สีเหลือง สีส้ม และสีน้ำตาล
• ปีเสือ สีที่ถูกโฉลก แก่การทาห้องนอนของคุณ ได้แก่ สีดำ สีเขียว สีเหลืองอมเขียว และสีฟ้า
• ปีกระต่าย สีที่ถูกโฉลกสำหรับการทาห้องนอนของคุณ ได้แก่ สีเหลืองอมเขียว สีดำ สีฟ้า และสีเขียว
• ปีมังกร สีที่ถูกโฉลกกับการตกแต่งห้องนอนของคุณ ได้แก่ สีส้ม สีม่วง สีเหลือง สีแดง
• ปีงู สีที่ถูกโฉลกในการทาห้องนอนของคุณ ได้แก่ สีเหลืองอมเขียว สีม่วง สีแดง และสีส้ม
• ปีม้า สีที่ถูกโฉลกในการตกแต่งห้องนอนของคุณ ได้แก่ สีเขียว สีเหลือง สีแดง สีม่วง
• ปีแพะ เหมาะแก่สีโทนเข้ม ได้แก่ สีม่วง สีส้ม สีแดง และ สีน้ำตาล
• ปีลิง สีที่ถูกโฉลกสำหรับการทาห้องนอนของคุณ ได้แก่ สีน้ำตาล สีเหลือง สีทอง สีเงิน และสีขาว
• ปีไก่ สีที่ถูกโฉลกในการแต่งห้องนอนของคุณได้แก่ สีทอง สีเหลือง สีน้ำเงิน และสีขาว
• ปีจอ สีที่ควรตกแต่งห้องนอนของคุณ ได้แก่ สีส้ม สีม่วง สีเหลือง และ สีน้ำตาล
• ปีหมู สีที่เหมาะสมแก่การตกแต่งห้องนอนของคุณ ได้แก่ สีทอง สีเงิน สีฟ้า สีดำ และสีเทา
ของตกแต่งห้องเสริมมงคลและความร่ำรวยตามฮวงจุ้ยห้องนอน

แน่นอนว่าของตกแต่งห้องนอนเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง นอกจากจะสวยงามแล้วตามหลักฮวงจุ้ยห้องนอนของพวกนี้ยังนำความสุข พลังงานที่ดี และเงินทองให้กับผู้อยู่อาศัยอีกด้วย ซึ่งของตกแต่งที่ดีตามหลักฮวงจุ้ยห้องนอนได้แก่ของ 3 สิ่งนี้
• โมบาย เพิ่มพลังงานในห้อง ช่วยเรื่องโชคลาภ รวมถึงเรื่องการเงินซึ่งจะหมุนเวียนได้ดียิ่งขึ้น
• หินมงคล ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่ามงคล หากนำมาไว้ในห้องนอนนอกจากจะสวยงามแล้ว ยังเพิ่มพูนโชคลาภให้เงินทองไหลมาเทมาอีกด้วย
• คริสตัล ให้นำลูกคริสตัลหรือแบบแท่งก็ได้มาตั้งไว้ในห้องนอน ช่วยเพิ่มพลังงานภายในห้อง นอกจากนี้หากใครทำธุรกิจจะช่วยเสริมให้เจริญรุ่งเรืองมากขึ้นอีกด้วย
ขอบคุณข้อมูลจากhttps://www.estopolis.com/