Warning: "continue" targeting switch is equivalent to "break". Did you mean to use "continue 2"? in /home/thanasarnc/domains/thanasarn.co.th/public_html/wp-content/themes/divi/includes/builder/functions.php on line 4783
ราคาเหล็กวันนี้ Archives - Page 10 of 18 - ตัวแทนจำหน่ายเหล็กทุกชนิด เหล็กเส้น เหล็กไวแฟรงค์ เหล็กเฮชบีม เหล็กไอบีม ราคายุติธรรม google.com, pub-1539147387772263, DIRECT, f08c47fec0942fa0
รีวิว กู้บ้าน ธอส. ชั้นเดียวงบสร้างบ้าน 780,000 รวมตกแต่ง

รีวิว กู้บ้าน ธอส. ชั้นเดียวงบสร้างบ้าน 780,000 รวมตกแต่ง

สำหรับผู้ที่ต้องการยื่นกู้ สร้างบ้านของตัวเองสักหลัง แต่ยังงงๆ ไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไร เงินเดือนเท่าไหร่ถึงจะยื่นกู้ได้ จะกู้เดี่ยว หรือ ยื่นกู้ร่วมดี ?  ลองแวะมาชมกระทู้ รีวิวกู้บ้าน ธอส. ชั้นเดียว งบสร้างบ้าน 780,000 บาทรวมตกแต่งและเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านทั้งหมด ของคุณสมาชิกหมายเลข 4884036 จากกระทู้พันทิปกันค่ะ

รีวิวกู้บ้าน ธอส. งบสร้างบ้าน 780,000 บาท

(ก่อนลงมือสร้างกำหนดงบที่ 680,000 บาทค่ะแต่งบบานปลายนิดหน่อยค่ะ)

กู้บ้าน ธอส.
กู้บ้าน ธอส.

 

เจ้าของกระทู้ อายุ 23 ปี ส่วนแฟน 31 ปีค่ะ อยู่บ้านเช่ากับแฟนที่ภูเก็ตค่ะ เลือกหาที่ใกล้ที่ทำงานที่สุด ก็ไม่ได้คิดอยากมีบ้านอะไรมากมาย จนแต่งงานได้ 4 เดือน เจ้าของกระทู้ ตั้งท้อง ก็เริ่มคิด ว่าไม่อยากให้ลูกต้องมาอยู่ในห้องเช่าแบบนี้ เลยคุยกับแฟนว่าอยากสร้างบ้าน บนที่ดินที่แม่ยกไว้ให้ ที่พังงาที่ดิน กว้าง 6 ยาว 20 ค่ะ
เราสองคนไม่มีภาระอะไร ตอนแรก จะกู้ร่วมกับแฟน เพราะคิดว่าเงินเดือนเรามันน้อยนิด แต่ธนาคารบอกว่าเรากู้คนเดียวผ่าน เพราะเรายื่นกู้ไปแค่ 9 แสน และตกลงค่าก่อสร้างกับผู้รับเหมาที่ 670,000 บาทถ้วนค่ะ

เงินเดือนเรารวม เซอร์วิสชาร์จ 13,000 บาท แต่เรามีเงินที่ได้จากงาน ประมาณเดือนละ 4,000 บาท ธนาคารไม่รวมให้นะคะ เพราะไม่ได้เข้าในสลิป  ส่วนเงินเดือนแฟน 15,000 บาทค่ะ

เอาล่ะ !! เริ่มแรก หาแบบบ้านที่ชอบเข้าไปดูหน้าเพจที่รับเขียนแบบบ้านได้เลยคะ ชอบอันไหน ก็ให้เขาปรับให้เหมาะกับที่ดินของเรา ของเจ้าของกระทู้ เอาแบบที่ชอบ ไปให้ ช่างอบต.เขียนให้ค่ะ เพิ่มนู้นนิดนี่หน่อยค่ะ
ค่าเขียนแบบและใบ boq 4,000 บาทคะ เมื่อได้แบบแล้ว ก็ขอใบอนุญาตสร้างบ้าน ที่เทศบาลหรืออบต.ได้เลยค่ะ
ของเจ้าของกระทู้ ช่างอบต.เขียนพร้อมขออนุญาตให้เรียบร้อยค่ะ
เมื่อเอกสารพร้อมก็เข้าไปธนาคารกันค่ะ เอาเอกสารไปยื่นกัน

เอกสารที่ใช้ยื่นกู้

1.ทะเบียนบ้านฉบับจริง
2.บัตรประชาชน
3.สลิปเงินเดือนย้อนหลัง 3 เดือน
4.สเตทเม้นท์ ย้อนหลัง 6 เดือน
5.โฉนดที่ดิน สำเนาและเอาตัวจริงไปด้วยนะคะ
6.ใบรับรองเงินเดือน
7.แบบบ้าน
8.ใบอนุญาตปลูกสร้าง

ถ้ายื่นกู้กับธนาคารอาคารสงเคราะห์ให้ส่งเอกสารก่อนสร้างได้เลยค่ะ
มีให้เลือก 2 แบบ

1. รับเงินงวดแรก 20% ตอนเซ็นสัญญา ดอกเบี้ยเพิ่ม 50 สตางค์ ตลอดการสร้างบ้าน และดอกเบี้ยจะปรับเป็นปกติเมื่อสร้างบ้านเสร็จแล้วค่ะ

 

2. สร้างบ้านไป 20% แล้วเรียกเบิกงวดค่ะ ดอกเบี้ยตามโปรโมชั่นที่เราเลือกเลยค่ะ

เจ้าของกระทู้เลือกแบบที่ 1 ค่ะ (พลาดมาก)
ขอเตือนว่า สุดท้ายเราควรต้องมี เงินสำรอง 20% ของราคาบ้านค่ะ เพราะต่อให้เอาเงินมา 20% เพื่อสร้างงวดแรก แต่งวด 2 เขาจะหักกับเงินที่เราเอาไป และต้องออกเงินจ่ายงวดที่ 2 เองค่ะ

ลุ้นนนไปค่ะ รอเสียงโทรศัพท์วนไป

3 วัน ผ่านไป ธนาคารแจ้งว่า พรุ่งนี้บริษัทประเมินฯ จะเข้าไปประเมินที่ดินที่จะทำการปลูกสร้างนะตอนนั้นใจดีมาก แต่ยังดีใจไม่สุดค่ะ เพราะยังกลัวๆ จะไม่ผ่านอยู่

เมื่อประเมินเสร็จ ประมาณ 4 วัน ธนาคารนัดทำสัญญาคะ ธนาคารให้เงินมาก้อนแรก 120,000 บาทค่ะ

ที่ดินเปล่า

ทำการเคลียร์พื้นที่ ล้มต้นไม้ที่จะยกไม่ต้องถมดินค่ะ เพราะดินสูงกว่าถนนค่ะ

เมื่อเคลียร์พื้นที่แล้ว   งวดแรกให้ผู้รับเหมา 140,000 บาทถ้วนค่ะ ก็ลงเสาค่ะ เริ่มทำฐานราก

ก่ออิฐ

เมื่อการก่อสร้างดำเนินไปได้ 20% แล้ว ก็เรียกงวดค่ะ แล้วจะรู้ได้ไงว่าไป20% แล้ว ก็ดูจากใบงวดงานที่ธนาคารให้มาเลย

กู้บ้าน

สร้างบ้าน

เมื่อผู้รับเหมา ทำฐานราก และก่ออิฐขึ้นทั้งหมดแล้ว ตามในภาพด้านบน ก็เรียกงวด ก็เอาให้ผู้รับเหมา 240,000 บาท
ไปซื้อของ และดำเนินการ โครงหลังคา มุงหลังคาใส่วงกบประตูหน้าต่าง และฉาบผนังค่ะ ต่อค่ะ

ติดตั้งหลังคา

เมื่อบ้านดำเนินมาถึง การมุงหลังคา ฉาบผนัง เทพื้น แล้ว ก็ทำการเรียกรับเงินงวดที่ 3 คะ พอรับเงินมาปุ๊บ ก็ให้ผู้รับเหมา เพื่อดำเนินการตีฝ้าภายในและภายนอก ปูกระเบื้องพื้น ทำเคาน์เตอร์ ใส่ประตูหน้าต่างค่ะ

แต่….. ทุกอย่างหยุดชะงักที่การตีฝ้าด้านนอกและด้านในคะ ชะงักไปเกือบๆ 2 เดือน มีปัญหาไม่นิดหน่อยเลยค่ะ  ตอนนั้นเครียดมาก เพราะดอกเบี้ยเพิ่มมา 0.05% ตลอดจนการสร้างเสร็จ เราอยากให้บ้านเสร็จไวไว กินไม่ได้นอนไม่หลับ จนต้องตัดสินใจเอาว่ะ คงต้องยอมให้เกินจากที่ตั้งงบไว้

…เจ้าของกระทู้ตัดสินใจ เปลี่ยนผู้รับเหมา คะ เพื่อให้บ้านดำเนินต่อไป และบานปลายไม่มาก และ เจ้าของกระทู้ต้องเอาทองไปจำนำ เพื่อมา ใส่ครอบข้างหลังคา ค่าของ + ค่าแรง ประมาณ 20,000 บาทค่าหน้าต่าง – ประตู ทั้งบ้าน 45,000 บาท ดีที่แม่ให้ทุนมาทำก่อนบ้างค่ะ

ไม่เป็นไร เจ้าของกระทู้คิดว่าเป็นบทเรียนและเป็นประสงค์ของเจ้าที่ทดสอบเราค่ะ

ทาสี
ทาสีเอง

โคมไฟ

เรากับแฟน ช่วยกันทาสีคะทั้งหลัง ประหยัดไปได้เยอะเลยค่ะ

เมื่อเปลี่ยนผู้รับเหมา จ้างแค่ค่าแรง ซื้อของให้ก็เหนื่อยขึ้นเยอะมาก เพราะต้องวิ่งซื้อของเองทั้งหมด จิปาถะเยอะมาก
เราไม่มีรถยนต์นะคะ มีแต่มอเตอร์ไซค์ ของชิ้นใหญ่ก็ให้ร้านส่ง ชิ้นเล็กๆ ก็ หิ้วของสองคน แต่ผ่านไปด้วยดีค่ะ

แต่งบ้าน

แต่งบ้าน
ครัว

เสร็จแล้วค่ะบ้านหลังน้อยๆ ของเราสามคน พ่อแม่ลูก

ห้องน้ำ

ในส่วนของห้องอาบน้ำ ห้องอาบน้ำและห้องส้วมแยกคนละห้องค่ะ
กระเบื้องผนังได้จากไทวัสดุ กล่องละ189 บาท

กระจกแขวนสั่งจากร้านจีนในลาซาด้า 990 บาท

เคาน์เตอร์อ่างล้างหน้า สินค้าตัวโชว์ลดราคา จาก 3,990 บาทลดเหลือ 1,700 บาท ค่ะ

เจ้าของกระทู้มิได้งกเด้ออ แต่save สุดๆ 555

ห้องรับแขก
ติดตั้งผ้าม่าน

กำลังติดตั้งผ้าม่านทั้งหลังค่ะ อยากบอกว่า มันถูกมากก ผ้าม่านกับรางได้จาก shopee ค่ะ ผ้าม่านกัน UV หน้าต่าง ผืนละ140 บาท ส่วนรางคู่ 300 บาท เป็นรางคู่นะคะ อนาคตจะใส่เป็นม่านโปร่งด้วยค่ะ แต่งบตอนนี้ ในแค่ม่านทึบไปก่อน

 

ผนัง
รูปพรีเวดดิ้งติดบนหัวนอน

รูปพรีเวดดิ้ง ติดหัวนอนไว้ เตือนสติเวลาทะเลาะกัน

ผนัง

มุมหน้าห้องน้ำ พรมหน้าห้องน้ำ ใช้หินแทนผ้า เพราะซับน้ำและแห้งไวมากกค่ะ

บ้านเดี่ยวชั้นเดียว

มุมหน้าบ้านค่ะ

บ้านเดี่ยวชั้นเดียว

มุมข้างบ้านค่ะ …. บ้านเราเป็นบ้านยกสูงกว่าถนนน่ะคะเนื่องจากหลังบ้านเป็นคลองเล็กๆ ถ้าน้ำทะเลขึ้นสูง ก็จะมีน้ำมีปลาที่ใต้ถุนบ้านและหลังบ้านค่ะ ฟินฟุดๆ เลยค่ะ

นับเป็นบ้านหลังเล็กๆ แต่อบอุ่นและน่าภูมิใจ ที่สามารถก่อร่างสร้างบ้านสักหลังเป็นของตัวเองได้สำเร็จด้วยตัวเองในวัยเพียง 20 – 30 ปี เท่านั้น  Decor.MThai ขอชื่นชมในความมุมานะฝ่าฟันอุปสรรคของครอบครัวนี้ ใครที่ผ่านประสบการณ์เหล่านี้มาจะเข้าใจได้เป็นอย่างดีว่าความรู้สึกเมื่อได้เข้าไปอยู่ในบ้านที่เราสร้างเสร็จมันจะฟินขนาดไหนเนอะ

ขอบคุณข้อมูลจากhttps://decor.mthai.com/home-design/71274.html

วิธีผสมปูนก่ออิฐ สำหรับงานก่อหรืองานฉาบอิฐมอญและอิฐบล็อกโดยเฉพาะ

วิธีผสมปูนก่ออิฐ สำหรับงานก่อหรืองานฉาบอิฐมอญและอิฐบล็อกโดยเฉพาะ

 วิธีผสมปูนก่ออิฐ ไม่ว่าจะเป็นอิฐมอญ หรือ อิฐบล็อกก็ใช้สูตรนี้สำหรับงานช่างเล็กๆ น้อยๆ หรือใครจะถนัดงานใหญ่ก่อร่างสร้างบ้านก็ตามสะดวก มือใหม่หัดทำก็สามารถเอาสูตรนี้ไปลองทำดูด้วยตัวเองกันได้ พร้อมเผยวิธีสังเกตว่า ปูนที่ผสมมานั้นใช้ได้จริงหรือไม่ กันจ้า

วิธีผสมปูนก่ออิฐ

วิธีผสมปูนก่ออิฐ
อุปกรณ์ที่ต้องเตรียม
– ปูนซีเมนต์ สำหรับงานก่อหรืองานฉาบ (วิธีเลือกซื้อ สามารถอ่านได้จากฉลากข้างถุงเลยจ้าว่าสำหรับใช้งานอะไร )
– ทรายหยาบ
– น้ำ
– กระบะผสมปูน หรือ ถังปูน (เลือกขนาดภาชนะผสมได้ตามปริมาณการใช้งาน)
– จอบ
– เกรียงเหล็กปลายแหลม

 

ปูนก่ออิฐ

อัตราส่วนผสม และวิธีผสมปูนก่ออิฐ
ปูนซีเมนต์ 1 ส่วน : ทรายหยาบ 3 ส่วน ค่อยๆ ใส่น้ำแล้วใช้จอบคลุกผสมให้เข้ากันในกระบะผสมปูน หรือ ใช้เกรียงเหล็กปลายแหลมตักคนผสมให้เข้ากันในถังปูน (ใช้ภาชนะใหญ่หรือเล็กเลือกตามปริมาณปูนที่ต้องการใช้งาน) ระวังอย่าให้เหลวเกิน เพราะจะทำให้ผนังอิฐที่เราก่อยุบตัวจนล้มได้

วิธีสังเกตว่าผสมปูนได้ที่แล้วหรือไม่นั้น สังเกตได้โดยใช้จอบตักปูนที่ผสมแล้วขึ้นมา ถ้าเนื้อปูนติดเป็นก้อนขึ้นมา แสดงว่าใช้ได้แล้ว แต่ถ้าปูนเหลวก็จะตักไม่ได้หรือตักได้มันก็จะติดขึ้นมาน้อยเพราะมันจะไหลออก ต้องผสมใหม่ ถ้าผสมได้ที่เป็นก้อนแล้ว ก็สามารถนำไปใช้งานได้เลย

อนึ่ง สูตรผสมปูนนี้ไม่เหมาะกับงานก่ออิฐสำเร็จรูปหรืออิฐมวลเบา เนื่องจากปูนสำหรับก่ออิฐมวลเบาไม่ต้องใช้ทรายมาเป็นส่วนผสม ต้องผสมอีกสูตรจ้า

ขอบคุณข้อมูลจากhttps://decor.mthai.com

การผลิตเหล็กกล้า

การผลิตเหล็กกล้า

การผลิตเหล็กกล้า

จากเหล็กถลุงสามารถนำไปผลิตเป็นเหล็กชนิดอื่นๆ ได้ เช่น เหล็กกล้า เหล็กกล้าผสม เหล็กหล่อเทา (gray cast iron) เหล็กพืด (wrought iron) เหล็กตีให้แผ่ได้ (malleable iron) เหล็กนอดุลาร์ (nodular) ประมาณร้อยละ ๘๕-๙๐ ของเหล็กถลุงที่ผลิตได้จะนำไปเปลี่ยนสภาพเป็นเหล็กกล้า ปัจจุบันนี้การแปรรูปเหล็กถลุงเป็นเหล็กชนิดอื่นร้อยละ ๙๐ จะกระทำต่อเนื่องหลังจากที่ได้เหล็กถลุงจากเตา โดยนำเหล็กถลุงที่ยังหลอมละลายใส่รถเบ้า (ladle car) ไปเทใส่เตาที่จะแปรรูป ขณะที่ยังเป็นของเหลวส่วนที่ส่งไปแปรรูปไม่ทัน จะหลอมรวมตัวเป็นแท่งเอาไปใช้งานต่ออีกครั้งหนึ่ง ความแตกต่างของเหล็กแต่ละชนิดขึ้นอยู่กับปริมาณคาร์บอน และรูปของคาร์บอนที่อยู่ในเหล็ก เช่น อยู่ในรูปของแกรไฟต์ในเหล็กหล่อเทา หรืออยู่ในรูปของสารประกอบเหล็กและคาร์บอน เป็นต้น

เหล็กกล้าเป็นเหล็กที่ใช้มากที่สุด เป็นเหล็กที่มีปริมาณคาร์บอน ระหว่างร้อยละ ๐.๑-๑.๔ มักจะเรียกเหล็กกล้าว่า เหล็กกล้าคาร์บอน (carbon steel) เหล็กกล้ามีคุณสมบัติเด่นคือสามารถชุบเพิ่มความแข็ง หรือเปลี่ยนคุณสมบัติทางกายภาพอื่นๆ ได้ เหล็กกล้าที่มีปริมาณคาร์บอนต่ำจะเพิ่ม หรือลดความแข็งได้ไม่ดีเท่าเหล็กกล้าที่มีปริมาณคาร์บอนสูง เหล็กกล้าแบ่งออกตามปริมาณคาร์บอนในเนื้อเหล็ก ๓ ชนิด คือ เหล็กกล้าคาร์บอนต่ำ (low carbon steel) มีคาร์บอนในเหล็กไม่เกินร้อยละ ๐.๓๐ เหล็กกล้า คาร์บอนปานกลาง (medium carbon steel) มีคาร์บอนในเหล็กร้อยละ ๐.๓๐-๐.๗๐ และเหล็กกล้าคาร์บอนสูง (high carbon steel) มีคาร์บอนร้อยละ ๐.๗๐-๑.๔๐

การผลิตเหล็กกล้าจากเหล็กถลุงส่วนใหญ่เป็นการลดสารเจือปน และคาร์บอนในเหล็กถลุงให้ได้ปริมาณตามต้องการ ด้วยการเพิ่มออกซิเจนให้กับคาร์บอน และสารเจือปนโดยอาศัยปฏิกิริยาจากความร้อนและออกซิเจน ซึ่งมีหลายวิธี เช่น ใช้เตาออกซิเจน (basic oxygen furnace หรือ BOF) เตาไฟฟ้า (electric furnace) เตาโอเพนฮาร์ท (open-hearth) และวิธีเบสเซเมอร์ (Bessemer converter) ปัจจุบันนี้ เลิกใช้วิธีเบสเซเมอร์แล้ว เตาส่วนใหญ่ที่ใช้ผลิตเหล็กกล้าเป็นเตาสามชนิดแรกและมีอัตรากำลังผลิตร้อยละ ๖๐, ๒๕ และ ๑๕ ตามลำดับ

การผลิตเหล็กกล้าจากเตาออกซิเจน
การผลิตเหล็กกล้าจากเตาออกซิเจน

การผลิตเหล็กกล้าจากเตาออกซิเจน

ดัดแปลงจากหลักการของเซอร์เฮนรี เบสเซเมอร์ ผู้ค้นพบวิธีทำเหล็กกล้า ด้วยการพ่นอากาศเข้าไปในเตาที่มีเหล็กถลุงหลอมละลายอยู่โดยพ่นจากด้านล่างของเตาเบสเซเมอร์ และพยายามที่จะใช้ก๊าซออกซิเจนแทนอากาศแต่ไม่ประสบผลสำเร็จในขณะนั้น เนื่องจากเทคโนโลยีของการผลิตออกซิเจนไม่อำนวย เตาออกซิเจนที่ใช้ปัจจุบันได้ดัดแปลงการพ่นออกซิเจนเข้าทางด้านบนของเตาแทน การทำงานของเตาเริ่มด้วยการเติมเศษเหล็กลงเตา แล้วเติมเหล็กถลุงเหลวที่ได้จากเตาถลุงแบบพ่นลม (อัตราส่วนเหล็กกับเหล็กถลุง ๓๕/๖๕) เมื่อตั้งเตาตรงแล้วหย่อนท่อออกซิเจนที่มีน้ำหล่อเย็นลงในเตา เริ่มพ่นออกซิเจนอุณหภูมิในเตาจะสูงขึ้นอย่างรวดเร็วจนถึงจุดเดือดของเหล็กประมาณ ๑,๖๕๐ เซลเซียส คาร์บอน แมงกานีส และซิลิกา จะได้รับการเติมออกซิเจนกลายเป็นออกไซด์ เมื่อเติมหินปูนและแร่ฟันม้า (feldspar) ลงในเตา เพื่อให้แยกเอาสิ่งเจือปน เช่น ฟอสฟอรัส และกำมะถันออกในรูปของตะกรัน (slag) แล้ว จะเอียงเตาเพื่อนำเหล็กมาทดสอบหาคุณสมบัติเมื่อได้คุณสมบัติตามต้องการจะเทเหล็กออกจากเตา การผลิตเหล็กกล้าจากเตาออกซิเจนใช้เวลาเฉลี่ยประมาณ ๔๕ นาที ผลิตเหล็กกล้าได้ครั้งละ ๑๘๐-๒๕๐ ตันต่อเตา เหล็ก ๑ ตัน ใช้ออกซิเจนประมาณ ๕๐ ลูกบาศก์เมตร

การผลิตเหล็กกล้าจากเตาไฟฟ้าแบบอินไดเรกต์อาร์ก
การผลิตเหล็กกล้าจากเตาไฟฟ้าแบบอินไดเรกต์อาร์ก

การผลิตเหล็กกล้าจากเตาไฟฟ้า

เหล็กที่ใช้ทำเหล็กกล้าจากเตาไฟฟ้า มักจะเป็นเศษเหล็กกล้าปนกับเหล็กถลุง บางครั้งอาจใช้เหล็กถลุงที่หลอมละลายจากเตาถลุงแบบพ่นลม เดิมเตาไฟฟ้าเป็นแบบอินไดเรกต์อาร์ก (indirect arc furnace) ความร้อนที่ใช้ในการหลอมละลายได้จากอาร์กที่เกิดขึ้นระหว่างขั้วไฟฟ้าที่ทำด้วยถ่าน (graphite electrode) ขั้วทั้งสองวางอยู่ในแนวราบ เตาชนิดนี้มีประสิทธิภาพต่ำ จึงมีการพัฒนาเตาไฟฟ้าหลอมเหล็กขึ้นใหม่ โดยใช้ขั้วที่ทำด้วยถ่านแกรไฟต์วางอยู่ในแนวดิ่ง และให้เหล็กที่อยู่ในเตาทำหน้าที่เป็นอีกขั้วหนึ่งในขณะที่ทำงานจะต้องให้ขั้วที่เป็นแท่งถ่านอยู่ห่างจากเศษเหล็กหรือผิวของเหล็กที่หลอมละลายพอควร เพื่อที่จะให้เกิดอาร์กพอเหมาะ เตาชนิดหลังนี้เรียกว่า เตาไดเรกต์อาร์ก (direct arc furnace) เป็นเตาที่มีประสิทธิภาพสูงกว่าชนิดแรก ภายในบุด้วยอิฐทนไฟ เตามีความจุ ๑๐๐-๒๗๐ ตัน เจาะเอาเหล็กที่ละลายออกทุก ๆ ๒-๓ ชั่วโมง สำหรับเตาที่เจาะเหล็กซึ่งหลอมละลายออกครั้งละ ๑๑๐ ตัน ต้องใช้พลังไฟฟ้า ๕๐,๐๐๐ กิโลวัตต์ชั่วโมง

การผลิตเหล็กกล้าจากเตาโอเพนฮาร์ท

เตาโอเพนฮาร์ทมีลักษณะคล้ายกระทะ หรืออ่างเก็บน้ำ ใช้เปลวไฟที่ได้จากการเผาน้ำมันเตา หรือก๊าซบางชนิดพ่นบนผิวหน้าของเหล็กถลุงเหลวที่อยู่ในเตาโดยพ่นเปลวไฟจนเหล็กใกล้จุดเดือด (ใช้เวลา ๖-๗ ชั่วโมง) หลังจากนั้นเติมฟลักซ์ (fluxing agents) แล้วพ่นเปลวไฟต่อไปอีก ๓-๔ ชั่วโมง จึงเทน้ำเหล็กออก รวมเวลาที่ใช้ในการทำเหล็กกล้าประมาณ ๑๐ ชั่วโมง เตาชนิดนี้มีขนาดความจุของเตา ๕๐-๕๐๐ ตัน

ในประเทศไทยยังไม่มีการถลุงเหล็กจากแร่เหล็กเพียงแต่มีโครงการผลิตเหล็กจากแร่เหล็ก โดยวิธีลดออกซิเจนโดยตรง ซึ่งยังอยู่ระหว่างการหาเงินมาลงทุน การผลิตเหล็กกล้าในประเทศเป็นการนำเศษเหล็กมาหลอมในเตาไฟฟ้า นำเหล็กที่ได้มาทำเหล็กก่อสร้าง เช่น เหล็กที่ใช้เสริมคอนกรีตเป็นเหล็กเส้นกลม หรือเหล็กฉาก

เหล็กคืออะไร? ความรู้เรื่องเหล็ก และประเภทของเหล็ก

เหล็กคืออะไร? ความรู้เรื่องเหล็ก และประเภทของเหล็ก

เหล็ก เป็นแร่ธาตุที่มีบทบาทกับการนำมาใช้งานในชีวิตประจำวันมากที่สุด และเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลาย โดยเหล็กจะแบ่งออกเป็น 2 ประเภทด้วยกัน คือเหล็ก (iron) และ เหล็กกล้า (steel) ซึ่งทั้งสองประเภทนี้ มีคุณสมบัติที่ต่างกันหลายประการ แต่ส่วนใหญ่ก็มักจะถูกเรียกอย่างเหมารวมกันว่า “เหล็ก” นั่นเอง

ลักษณะทั่วไปของเหล็กและเหล็กกล้า

เหล็ก จะมีสัญลักษณ์ทางวิทยาศาสตร์ คือ Fe มักพบได้มากในธรรมชาติ ซึ่งจะมีลักษณะเป็นสีแดงอมน้ำตาล เมื่อนำเข้าใกล้กับแม่เหล็ก จะดูดติดกัน ส่วนพื้นที่ที่ค้นพบเหล็กได้มากที่สุด ก็คือ ตามชั้นหินใต้ดินที่อยู่บริเวณที่ราบสูงและภูเขา โดยจะอยู่ในรูปของสินแร่เป็นส่วนใหญ่ ซึ่งก็ต้องใช้วิธีถลุงออกมา เพื่อให้ได้เป็นแร่เหล็กบริสุทธิ์และสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้

เหล็กกล้า เป็นโลหะผสม ที่มีการผสมระหว่าง เหล็ก ซิลิคอน แมงกานีส คาร์บอนและธาตุอื่นๆ อีกเล็กน้อย ทำให้มีคุณสมบัติในการยืดหยุ่นสูง ทั้งมีความทนทาน แข็งแรง และสามารถต้านทานต่อแรงกระแทกและภาวะทางธรรมชาติได้อย่างดีเยี่ยม  ที่สำคัญคือเหล็กกล้าไม่สามารถค้นพบได้ตามธรรมชาติเหมือนกับเหล็ก เนื่องจากเป็นเหล็กที่สร้างขึ้นมาโดยการประยุกต์ของมนุษย์  แต่ในปัจจุบันก็มีการนำเหล็กกล้ามาใช้งานอย่างแพร่หลาย เพราะมีต้นทุนต่ำ จึงช่วยลดต้นทุนได้เป็นอย่างมาก และมีคุณสมบัติที่โดดเด่นไม่แพ้เหล็ก

ประเภทของเหล็กแบ่งได้อย่างไรบ้าง?

สำหรับประเภทของเหล็กนั้น สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ คือ

เหล็กหล่อ

เหล็กคืออะไร? ความรู้เรื่องเหล็ก และประเภทของเหล็กที่น่าสนใจ

 

เหล็กหล่อ เป็นเหล็กที่ใช้วิธีการขึ้นรูปด้วยการหล่อขึ้นมา ซึ่งจะมีปริมาณของธาตุคาร์บอนประมาณ 1.7-2% จึงทำให้เหล็กมีความแข็ง แต่ในขณะเดียวกันก็มีความเปราะ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้เหล็กหล่อ สามารถขึ้นรูปได้แค่วิธีการหล่อวิธีเดียวเท่านั้น ไม่สามารถขึ้นรูปด้วยการรีดหรือวิธีการอื่นๆ ได้ นอกจากนี้เหล็กหล่อ ก็สามารถแบ่งย่อยๆ ได้ดังนี้

  • เหล็กหล่อเทา เป็นเหล็กหล่อที่มีโครงสร้างคาร์บอนในรูปของกราฟไฟต์ เพราะมีคาร์บอนและซิลิคอนเป็นส่วนประกอบสูงมาก
  • เหล็กหล่อขาว เป็นเหล็กที่มีความแข็งแรงทนทานสูง สามารถทนต่อการเสียดสีได้ดี แต่จะเปราะจึงแตกหักได้ง่าย โดยเหล็กหล่อประเภทนี้ จะมีปริมาณของซิลิคอนต่ำกว่าเหล็กหล่อเทา ทั้งมีคาร์บอนอยู่ในรูปของคาร์ไบด์ของเหล็กหรือที่เรียกกว่า ซีเมนไตต์
  • เหล็กหล่อกราฟไฟต์กลม เป็นเหล็กที่มีโครงสร้างเป็นกราฟไฟต์ ซึ่งจะมีส่วนผสมของแมกนีเซียมหรือซีเรียมอยู่ในน้ำเหล็ก ทำให้เกิดรูปร่างกราฟไฟต์ทรงกลมขึ้นมา ทั้งยังได้คุณสมบัติทางกลในทางที่ดีและโดดเด่นยิ่งขึ้น เหล็กหล่อกราฟไฟต์จึงได้รับความนิยมในการนำมาใช้งานอย่างแพร่หลายและถูกนำมาใช้งานในอุตสาหกรรมมากขึ้น
  • เหล็กหล่ออบเหนียว เป็นเหล็กที่ผ่านกระบวนการอบเพื่อให้ได้คาร์บอนในโครงสร้างคาร์ไบด์แตกตัวมารวมกับกราฟไฟต์เม็ดกลม และกลายเป็นเฟอร์ไรด์หรือเพิร์ลไลต์ ซึ่งก็จะมีคุณสมบัติที่เหนียวแน่นกว่าเหล็กหล่อขาวเป็นอย่างมาก ทั้งได้รับความนิยมในการนำมาใช้งานที่สุด
  • เหล็กหล่อโลหะผสม เป็นประเภทของเหล็กที่มีการเติมธาตุผสมเข้าไปหลายอย่างด้วยกัน ซึ่งก็จะช่วยปรับปรุงคุณสมบัติของเหล็กให้ดีขึ้น โดยเฉพาะการทนต่อความร้อนและการต้านทานต่อแรงเสียดสีที่เกิดขึ้น เหล็กหล่อประเภทนี้จึงนิยมใช้ในงานที่ต้องสัมผัสกับความร้อน

เหล็กกล้า

เหล็กคืออะไร? ความรู้เรื่องเหล็ก และประเภทของเหล็กที่น่าสนใจ

เหล็กกล้า เป็นเหล็กที่มีความเหนียวแน่นมากกว่าเหล็กหล่อ ทั้งสามารถขึ้นรูปด้วยวิธีทางกลได้ จึงทำให้เหล็กชนิดนี้ นิยมถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลายและกว้างขวางมากขึ้น  ตัวอย่างเหล็กกล้าที่มักจะพบได้บ่อยๆ ในชีวิตประจำวัน คือ เหล็กแผ่น เหล็กโครงรถยนต์หรือเหล็กเส้น เป็นต้น นอกจากนี้คาร์บอนก็สามารถแบ่งได้เป็นกลุ่มย่อยๆ ดังนี้

เหล็กกล้าคาร์บอน จะมีส่วนผสมหลักเป็นคาร์บอนและมีส่วนผสมอื่นๆ ปนอยู่บ้างเล็กน้อย ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับจะมีธาตุอะไรติดมาในขั้นตอนการถลุงบ้าง ดังนั้นเหล็กกล้าคาร์บอน จึงสามารถแบ่งเป็นย่อยๆ ได้อีก ตามปริมาณธาตุที่ผสมดังนี้

  1. เหล็กคาร์บอนต่ำ มีคาร์บอนต่ำกว่า 0.2% และมีความแข็งแรงต่ำมาก จึงนำมารีดเป็นแผ่นได้ง่าย เช่น เหล็กเส้น เหล็กแผ่น เป็นต้น
  2. เหล็กกล้าคาร์บอนปานกลาง จะมีคาร์บอนอยู่ประมาณ 0.2-0.5% มีความแข็งแรงสูงขึ้นมาหน่อย สามารถนำมาใช้เป็นชิ้นส่วนของเครื่องจักรกลได้
  3. เหล็กกล้าคาร์บอนสูง มีคาร์บอนสูงกว่า 0.5% มีความแข็งแรงสูงมาก นิยมนำมาอบชุบความร้อนเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งมากขึ้น และสามารถต้านทานต่อการสึกหรอได้ดี จึงนิยมนำมาทำเครื่องมือเครื่องใช้ที่ต้องการผิวแข็ง

เหล็กกล้าผสม เป็นเหล็ก ที่มีการผสมธาตุอื่นๆ เข้าไปโดยเจาะจง เพื่อให้คุณสมบัติของเหล็ก เป็นไปตามที่ต้องการ โดยเหล็กประเภทนี้มักจะมีความสามารถในการต้านทานต่อการกัดกร่อนและสามารถนำไฟฟ้าได้ รวมถึงมีคุณสมบัติทางแม่เหล็กอีกด้วย ซึ่งก็จะแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท คือ เหล็กกล้าผสมต่ำและเหล็กกล้าผสมสูง นั่นเอง โดยเหล็กกล้าผสมต่ำ จะเป็นเหล็กกล้าที่มีการผสมด้วยธาตุอื่นๆ น้อยกว่า 10% และเหล็กกล้าผสมสูง จะเป็นเหล็กกล้าที่มีการผสมด้วยธาตุอื่นๆ มากกว่า 10%

เหล็ก เป็นแร่ธาตุที่ถูกนำมาใช้ในชีวิตประจำวันมากที่สุด และเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย เนื่องจากมีคุณสมบัติที่เหมาะกับการนำมาใช้งานในหลายๆ ด้าน แต่ก็มีข้อเสียอยู่บ้าง คือมีน้ำหนักมาก ทำให้เคลื่อนย้ายได้ไม่ค่อยสะดวกมากนัก อย่างไรก็ตาม เหล็ก ก็ยังคงเป็นที่นิยมและมีการนำมาใช้งานในอุตสาหกรรมหรือการผลิตเครื่องจักรกลต่างๆ รวมทั้งใช้ในการสร้างบ้านด้วย เพราะเป็นโลหะที่มีความแข็งแรงและทนทานมาก

การเชื่อมเหล็กโครงสร้างรูปพรรณรีดร้อนที่ควรรู้

การเชื่อมเหล็กโครงสร้างรูปพรรณรีดร้อนที่ควรรู้

งานก่อสร้างอาคารโครงสร้างเหล็กรูปพรรณรีดร้อน ย่อมมาพร้อมกับวิธีการก่อสร้างที่จะขาดไปไม่ได้คือ “การเชื่อม” ในแง่หนึ่ง การเชื่อมเป็นเทคนิคด้านงานก่อสร้างที่ทำกันอยู่ทั่วไป เหมือนเป็นทักษะพื้นฐานที่ต้องติดตัวช่างก่อสร้าง การเชื่อมก็เป็นทักษะที่มีระดับความชำนาญหลายระดับ และต้องได้รับการฝึกฝนในระยะเวลาหนึ่ง เพราะในงานก่อสร้างอาคารโครงสร้างเหล็กใดๆ เรามักจะพบปัญหาจากการเชื่อมอยู่เสมอ ไม่มากก็น้อย

โดยหลักการทั่วไป คุณภาพการเชื่อมเหล็กที่ดี จะขึ้นอยู่กับปัจจัย 2 อย่างด้วยกัน คือการควบคุมความสมดุลระหว่างกำลังไฟ และความเร็วในการลากผ่านการเชื่อม โดยทั้งหมดจะต้องคำนึงถึงความหนาของเหล็กที่ใช้ และวัตถุประสงค์ของการใช้งานต่อไป

เมื่อเป็นฝีมือคน จึงเป็นเรื่องท้าทายในการควบคุมปัจจัยทั้งสองให้สอดคล้องกันเพื่อให้ได้งานเชื่อมที่มีคุณภาพในตอนท้าย เพราะหากไม่แล้ว งานเชื่อมที่ด้อยคุณภาพก็อาจนำมาซึ่งความไม่สม่ำเสมอของรอยต่อ มีส่วนเว้าแหว่งที่เชื่อมไม่ติด ความเปราะของรอยเชื่อม อันจะทำให้ความสามารถในการรับน้ำหนักของงานโครงสร้าง ไม่ตรงตามที่วิศวกรคำนวณ และอาจนำมาซึ่งการพังทลายของโครงสร้างได้

รอยเชื่อมที่มีคุณภาพนั้น จะเป็นที่เข้าใจกันว่าตะเข็บต้องมีลักษณะสม่ำเสมอ ลากยาว และเป็นเนื้อเดียว (ภาษาช่างเรียกเหมือนเป็นเกล็ดปลา) แต่นอกจากนั้นก็จะขึ้นอยู่กับการใช้งาน และหน้าที่การรับน้ำหนักของแต่ละจุด ที่จะต้องผ่านการออกแบบการเชื่อม ที่สัมพันธ์กับการคำนวณจากวิศวกร

โดยจะมีจุดบกพร่องและปัญหาที่จะเกิดอยู่บ้างในระหว่างการเชื่อม ที่จะก่อให้เกิดงานที่ไม่ได้คุณภาพ ยกตัวอย่างเช่นอย่างแรกคือฟองอากาศ (Porosity)ที่อาจเกิดจากการเชื่อมที่ไม่ชำนาญ และความไม่สมดุลของกำลังไฟและกระบวนการเชื่อม ซึ่งอาจก่อให้เกิดปัญหาเรื่องความเปราะฟองอากาศเพียงเล็กน้อยอาจไม่ส่งผลกระทบต่อโครงสร้างมาก แต่นั่นย่อมขึ้นอยู่กับขนาดและลักษณะของฟองอากาศในแต่ละชิ้นงาน โดยป้องกันได้ด้วยหลายเทคนิควิธี คืออาจรักษาระยะอาร์คให้สั้นที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้เพื่อป้องกันเปลวดับ และรักษาโลหะไม่ให้เย็นตัว รวมถึงเป็นการรักษาอัตราความเร็วของแก๊สให้สม่ำเสมอที่สุด

ข้อบกพร่องที่อาจเป็นปัญหาต่อมาคือ Slag หรือโลหะแปลกปลอมที่ฝังในรอยเชื่อม ซึ่งอาจเกิดจากทั้งความสกปรกของชิ้นงาน ความไม่เรียบร้อย รวมไปถึงสนิมในบริเวณรอยต่อที่อาจจะเกิดขึ้นหลังการทาสีกันสนิม หาก Slag เปราะและหลุดจากรอยต่อนั้นๆ

วิธีการป้องกันปัญหาหรือข้อบกพร่องที่จะเกิดจากการเชื่อม รวมถึงการเพิ่มคุณภาพการเชื่อมเหล็กที่ได้ประสิทธิภาพที่สุด หนีไม่พ้นการทำความสะอาดชิ้นงานให้ปราศจากน้ำมัน และเศษสิ่งสกปรกก่อนทำงานเชื่อม ก็จะทำให้ได้คุณภาพงานเชื่อมเหล็กโครงสร้างรูปพรรณรีดร้อนที่มีประสิทธิภาพสูงสุด

ขอขอบคุณข้อมูลจากhttps://www.hbeamconnect.com/th/community/blog/

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า