โดย saweang | เม.ย. 21, 2023 | บทความเกี่ยวกับเหล็ก
เหล็กเอชบีม H Beam steel แข็งแรงไหม ?
เหล็กเอชบีมเป็นโครงสร้างขนาดใหญ่ วัสดุที่มีความแข็งสูงมาก สามารถนำไปประกอบโครงสร้างงานที่ต้องรับน้ำหนักได้ดี แต่ว่าอาจจะไม่เหมาะกับงานที่ต้องรับแรงกระแทกเยอะ

เหล็กไอบีมและเหล็กเอชบีม เหล็กทั้ง 2 ถ้าหากมอง อาจจะรู้สึกว่ามีลักษณะคล้ายกัน และน่าจะใช้งานทดแทนกันได้ แต่ความจริงแล้วไม่สามารถใช้งานแทนกันได้ เนื่องจากเหล็กเอชบีมนั้นจะเหมาะกับงานก่อสร้างอาคารขนาดใหญ่
โดยจะนำไปประกอบเป็นเสา คาน และโครงหลังคา ส่วนเหล็กไอบีมจะนิยมนำไปทำรางเคน (Crane Girder) สำหรับยกสิ่งของที่มีน้ำหนักเยอะๆ และจะใช้ประกอบรางเลื่อนในโรงงานอุตสาหกรรม ดังนั้นจึงไม่ควรทำเหล็กทั้งสองชนิดนี้มาใช้งานทดแทนกันเด็ดขาด
ขนาดความยาวของเหล็กไอบีม เหล็กเอชบีม 6เมตร ,9เมตรและ 12เมตร
เหล็กเอชบีม H-beam ไอบีม I-beam ต่างกันอย่างไร? เหล็กทั้ง 2 หน้าตัดนี้ มีข้อแตกต่างกันอยู่ 2 ด้าน คือ
ด้านการนำไปใช้งาน
เหล็กเอชบีม H-beam ไวด์แฟรงค์ Wide Flange และ จะนำไปใช้ในงานก่อสร้างอาคาร เป็นชิ้นส่วนของ เสา คาน โครงหลังคา ฯลฯ เหล็กไอบีม I-beam จะนิยมนำไปทำรางเคน Crane Girder ที่ไว้ใช้ยกของที่มีน้ำหนักมาก
ด้านลักษณะรูปร่าง
จุดแตกต่างของเหล็กทั้ง 2 หน้าตัด คือ ปีก Flange ทั้งบนและล่างของเหล็ก H-beam จะเป็นแผ่นเรียบหนาเท่ากันตลอด เป็นรูปตัว H เท่ากันทั้งปีกและส่วนเสา ส่วนเหล็กเสาไวด์แฟรงค์ Wide Flange จะ มีความหนาเท่ากันตลอดเช่นกัน
แต่ส่วนปีก จะมีความกว้างไม่เท่ากับความกว้างเสา ส่วนของเหล็กไอบีม I-beam ทั้งปีกบนและล่างจะเป็นแผ่นเอียง หรือ Taper Flange ซึ่งขนาดหน้าตัดเหล็กที่เท่ากัน I-beam จะมีน้ำหนักต่อเมตรสูงกว่า H-beam เนื่องจากเหล็ก I-beam จะมีความหนาของเหล็กมากกว่าเพื่อรองรับแรงกระแทก และการเคลื่อนที่จากรางเครน
โดย saweang | เม.ย. 21, 2023 | บทความเกี่ยวกับเหล็ก
เหล็กเอชบีม คือ เหล็กที่มีขนาดขาสองมีความยาวเท่ากัน รูปตัวเอช (H) จึงอาจจะมีคนเรียกชื่อเหล็กเอชบีม เป็น เหล็กตัวเอช เหล็กบีม เสาเอช เหล็กปีกไอ เสาบีม ซึ่งทุกชื่อนั้นหากได้ยินที่ไหนให้ระลึกไว้เลยว่าทั้งหมดคือเหล็กชนิดเดียวกัน เหล็กบีมเป็นเหล็กที่มีเกิดจากเหล็กรูปพรรณรีดร้อนในลักษณะหน้าตัดของเหล็กเป็นรูปตัวเอช (H) ที่มีขนาดความสูง-กว้างทุกด้านเท่ากัน มีจุดเด่นตรงที่สามารถทนรับแรงกดทับ และรับน้ำหนักในงานโครงสร้างใหญ่มากๆ ได้ดี
ข้อดีของเหล็กเอชบีม
-
ช่วยลดระยะเวลาการก่อสร้างช่วยให้ขึ้นโครงสร้างได้รวดเร็ว ลดการใช้แรงงานน้อยกว่า
-
ช่วยให้การออกแบบโครงสร้างง่ายกว่า เนื่องจากการใช้เหล็กบีมจะช่วยให้ช่วงเสามีพื้นที่กว้าง กว่า และออกแบบได้หลากหลายรูปร่างมากกว่า
-
เหล็กบีมมีน้ำหนักเบา ช่วยลดภาระการขนส่ง
-
มีความแข็งแรง ทนทานสูง
-
สามารถดัดแปลง ต่อเติม ได้ง่าย โดยที่ไม่ต้องทุบรื้อโครงสร้างเติม
-
ระหว่างการก่อนสร้างไม่ก่อให้เกิดฝุ่นละออง
เหล็กเอชบีม ใช้ทําอะไร เหมาะกับงานชนิดไหน
การใช้เหล็กเอชบีมนิยมใช้ในงานก่อสร้างขนาดใหญ่ หรือขึ้นโครงหลังคาของอาคาร โรงงาน บ้านพักอาศัยที่มีขนาดใหญ่
ขนาดเหล็กเอชบีมมีขนาดเท่าไรบ้าง
เหล็กเอชบีมโดยทั่วไปแล้วจะแบ่งออกเป็น 2 Grade คือ
-
SS400, SS490, SS540 มีค่าบ่งบอกคุณภาพของการรับแรงอยู่ที่ 235-245 N / mm2 (~2,400 ksc)
-
SM400, SM490, SM520 มีค่าบ่งบอกคุณภาพของการรับแรงอยู่ที่ 355-365 N / mm2 (~3,600 ksc)
มีความยาวให้เลือกใช้คือ 1 เมตร, 6 เมตร, 9 เมตร, 12 เมตร และมีขนาด น้ำหนักและราคาดังนี้
ตารางน้ำหนักเหล็กเหล็กเอชบีม H-Beam Steel
| ขนาดเหล็กเอชบีม |
น้ำหนักเหล็กเอชบีมต่อเส้น (กก.) |
|
| เหล็กเอชบีม 100x100x6x8mm ยาว 6ม. |
103.20 |
|
| เหล็กเอชบีม 100x100x6x8mm ยาว 6ม |
206.40 |
|
| เหล็กเอชบีม 125x125x6.5x9mm ยาว 6ม. |
142.80 |
|
| เหล็กเอชบีม 125x125x6.5×9มม. ยาว 12ม. |
285.60 |
|
| เหล็กเอชบีม 150x150x7x10มม. ยาว 6ม. |
189.00 |
|
| เหล็กเอชบีม 150x150x7x10มม. ยาว 9ม. |
283.50 |
|
| เหล็กเอชบีม 150x150x7x10มม. ยาว 12ม. |
378.00 |
|
| เหล็กเอชบีม 175x175x7.5×11มม. ยาว 6ม. |
241.20 |
|
| เหล็กเอชบีม 175x175x7.5×11มม. ยาว 12ม |
482.40 |
|
| เหล็กเอชบีม 200x200x8x12มม. ยาว 6ม. |
299.40 |
|
| เหล็กเอชบีม 200x200x8x12มม. ยาว 9ม. |
449.10 |
|
| เหล็กเอชบีม 200x200x8x12มม. ยาว 12ม. |
598.80 |
|
| เหล็กเอชบีม 250x250x9x14มม. ยาว 6ม. |
434.40 |
|
| เหล็กเอชบีม 250x250x9x14มม. ยาว 9ม. |
651.60 |
|
| เหล็กเอชบีม 250x250x9x14มม. ยาว 12ม. |
868.80 |
|
| เหล็กเอชบีม 300x300x10x15มม. ยาว 6ม. |
564.00 |
|
| เหล็กเอชบีม 300x300x10x15มม. ยาว 6ม. |
564.00 |
|
| เหล็กเอชบีม 300x300x10x15มม. ยาว 9ม. |
846.00 |
|
| เหล็กเอชบีม 300x300x10x15มม. ยาว 12ม. |
1,128.00 |
|
| เหล็กเอชบีม 350x350x12x19มม. ยาว 6ม. |
822.00 |
|
| เหล็กเอชบีม 350x350x12x19มม. ยาว 9ม. |
1,233.00 |
|
| เหล็กเอชบีม 350x350x12x19มม. ยาว 12ม. |
1,644.00 |
|
| เหล็กเอชบีม 400x400x13x21มม. ยาว 6ม. |
1,032.00 |
|
| เหล็กเอชบีม 400x400x13x21มม. ยาว 9ม. |
1,548.00 |
|
โดย saweang | เม.ย. 20, 2023 | บทความเกี่ยวกับเหล็ก
เหล็กโครงสร้างขนาดใหญ่ ใช้สำหรับงานโครงสร้างเสาและโครงถักขนาดใหญ่ โดยเรียกชื่อว่าประเภทเหล็กว่า กลุ่มเหล็กเอชบีม ซึ้งจะแยกเป็น เหล็กเอชบีม เหล็กไอบีมและเหล็กไวค์แฟรงค์ข้อแตกต่างระหว่างเหล็ก เฮชบีม H-Beam ไอบีม I-Beam ไวด์แฟลงจ์ Wide-Flange
เหล็กเอชบีม (H-beam) เป็นเหล็กโครงสร้างรูปพรรณรีดร้อน อีกแบบหนึ่ง เหมาะสำหรับงานโครงสร้าง ซึ่งพบเห็นได้ทั่วไปในงาน โครงสร้างเหล็ก ซึ่งใช้ร่วมกับ เหล็กรูปพรรณอื่นๆได้ เช่น เหล็กรางน้ำ เหล็กกล่อง เป็นต้น
ลักษณะสำคัญของเหล็กเอชบีม H Beam
ลักษณะของเหล็ก จะคล้ายรูปตัว H มีขนาด ด้านกว้างและด้านยาวเท่ากัน เช่น เหล็กเอชบีม H-beam 100×100 ( ลักษณะที่เด่นชัดคือปีกที่กว้างที่เท่ากัน ) เกรดเหล็กเอชบีม SS400 , SM520 ความยาวปกติ 6 M. / 9 M. / 12 M.
การผลิตเหล็กเอชบีม
เหล็กเอชบีม (H-BEAM) คือ เหล็กรูปพรรณรีดร้อน (Hot-Rolled Structural Steel) ที่เกิดจากการหลอมและหล่อเป็นเหล็กแท่ง แล้วรีดในขณะที่เหล็กยังร้อนให้มีหน้าตัดเป็นรูปตัวอักษรภาษาอังกฤษ “H” ตามการเรียกชื่อ รูปแบบของหน้าตัดจะมีปีก (Flange) กว้างออกมาจากเอว (Web) ตรงกลาง โดยจะมีความหนาของเหล็กในส่วนปีกเท่ากันตลอด ไม่มีการปาดหรือลบมุมที่ปลายปีก
การใช้งานเหล็กเอชบีม
เหล็กเอชบีมเหมาะสำหรับการใช้งานเป็นโครงสร้างคาน เสา และโครงสร้างหลังคา ทั้งในอาคารบ้านพักอาศัย โรงงาน อาคารสูง หรือสนามกีฬา ทั้งนี้เหล็กเอชบีม (H-BEAM) ตามมาตรฐาน ASTM ของประเทศสหรัฐอเมริกาจะเรียกว่าเหล็ก Wide Flange (W-Shape)
ปัจจุบันเหล็กเอชบีม (H-BEAM) รวมทั้งเหล็กรูปพรรณแบบต่างๆ สามารถผลิตได้ภายในประเทศไทยและได้รับความนิยมมากในงานก่อสร้าง เนื่องจากงานก่อสร้างด้วยโครงสร้างเหล็กมีความสะดวกรวดเร็ว ไม่จำเป็นต้องรอให้แห้งหรือเซตตัวต่างจากงานคอนกรีต สามารถดัดโค้งได้ มีขนาดที่ได้มาตรฐานเนื่องจากผลิตมาจากโรงงาน เป็นการก่อสร้างด้วยระบบแห้งหน้างานจึงไม่สกปรกเลอะเทอะ สามารถนำมาดัดแปลง ต่อเติม และรื้อถอนได้ง่าย และยังสามารถนำกลับมาใช้งานใหม่ได้อีกครั้งอีกด้วย

หลายท่านคงมีความสงสัยว่าเหล็ก 2 ตัวนี้ แตกต่างกันอย่างไร ซึ่งเหล็กทั้ง 2 หน้าตัดนี้ มีข้อแตกต่างกันอยู่ 2 ด้าน คือ
-
ด้านการนำไปใช้งานเหล็กเอชบีม H-beam จะนำไปใช้ในงานก่อสร้างอาคาร เป็นชิ้นส่วนของ เสา คาน โครงหลังคา ฯลฯ H-BEAM มีขนาดหน้าตัดให้เลือกที่หลากหลาย ตั้งแต่ H100x50mm. จนถึงขนาดใหญ่สุด H900x300mm. ทำให้ H-BEAM นั้นถูกเลือกใช้ในงานที่หลากหลาย ทั้งโครงสร้างอาคาร โครงหล้งคา โครงสร้างโรงงาน หรืองานโครงการขนาดใหญ่เป็นต้น เช่น โรงจอดเครื่องบิน เหล็กไอบีม I-beam จะนิยมนำไปทำรางเคน Crane Girder ที่ไว้ใช้ยกของที่มีน้ำหนักมาก แะเหล็กไอบีมนี้ ถูกผลิตขึ้นมากเพื่อใช้ในงานที่เฉพาะเจาะจงมากกว่า เช่น รางเลื่อนของเครนในโรงงานอุตสาหกรรม เพราะความหนาของ Flange ปีกที่ยื่นออกมา ที่มาก และมีลักษระ Taper เรียวที่ปลาย ไม่เหมือนกับ H-beam ที่มีความหนาของ Flange เท่ากันตลอด ส่งผลให้โดยทั่วไป I-beam จะสามารถรับแรงกระแทกได้ดี แต่ก็จะมีน้ำหนักที่มากกว่า เอชบีม H-Beam ในขณะที่หน้าตัดเท่ากัน เช่น
-
H 300x150x6.5x9mm. นน. 7 กก./ม.
-
I 300x150x8x13mm. นน. 3 กก./ม. ซึ่งจะเห็นได้ว่า I-Beam มีน้ำหนักมากกว่าถึง 32%
-
ด้านลักษณะรูปร่าง แตกต่างของเหล็กทั้ง 2 หน้าตัด คือ ปีก Flange ทั้งบนและล่างของเหล็ก H-beam จะเป็นแผ่นเรียบหนาเท่ากันตลอด ส่วนของเหล็กไอบีม I-beam ทั้งปีกบนและล่างจะเป็นแผ่นเอียง หรือ Taper Flange ซึ่งขนาดหน้าตัดเหล็กที่เท่ากัน I-beam จะมีน้ำหนักต่อเมตรสูงกว่า H-beam เนื่องจากเหล็ก I-beam จะมีความหนาของเหล็ก
ข้อดีของการใช้เหล็กรูปพรรณรีดร้อน
- ลดระยะเวลาการก่อสร้าง ทำให้ลดภาระดอกเบี้ยของโครงการ เปิดใช้งานได้รวดเร็ว
- เตรียมงานจากโรงงานได้ และใช้แรงงานน้อยกว่าการก่อสร้างด้วยระบบอื่น
- ออกแบบโครงสร้างให้มีช่วงเสากว้าง กว่าโครงสร้างระบบอื่น ไม่เปลืองพื้นที่ใช้งาน
- ออกแบบงานสถาปัตยกรรมได้หลากหลายเช่น ตัดโค้ง ทำใครงสร้างโปร่ง หรือทำส่วนยื่่นได้มาก
- โครงสร้างมีน้ำหนักเบา ทำให้ประหยัดฐานราก ลดการขนส่ง และพื้นที่กองเก็บวัสดุ
- ตรวจสอบ ควบคุมคุณภาพ และบำรุงรักษาได้สะดวกกว่าโครงสร้างอื่น
- มีความแข็งแรง สามารถรับแรงสั่นสะเทือนและแผ่นดินไหว ได้ดีกว่าโครงสร้างระบบอื่น
- ก่อสร้างในที่จำกัดได้สะดวก ไม่ก่อให้เกิดมลภาวะฝุ่น
- ดัดแปลง ต่อเติม หรือรื้อไปสร้างใหม่ได้ ไม่ต้องทุบทิ้ง
- สามารถนำวัสดุมาหมุนเวียนได้ 100%
ขั้นตอนการผลิตโดยสังเขปเนื่องจากผลิตโดยการหลอมและรีดร้อนขึ้นเป็นท่อน เหล็กโครงสร้างชนิดนี้จึงมีเนื้อเดียวกัน ไม่มีรอยเชื่อมระหว่างส่วนต่างๆ ดังนั้นคุณสมบัติของหน้าตัดจึงสม่ำเสมอกว่าเหล็กโครงสร้างชนิดอื่นเช่น เหล็กรูปพรรณกลวงซึ่งทำจากเหล็กม้วนและเชื่อมตามยาว กับเหล็กโครงสร้างรูปพรรณเชื่อมประกอบที่ทำจากเหล็กแผ่นสามชิ้นเชื่อมเข้าด้วยกัน
เหล็ก เอชบีม H-Beam ต่างกับ I-Beam อย่างไร? เหล็กทั้ง 2 หน้าตัดนี้ มีข้อแตกต่างกันอยู่ 2 ด้าน คือ ด้านการนำไปใช้งาน เหล็กเอชบีม H-beamเหล็กเอชบีม H-beam จะนำไปใช้ในงานก่อสร้างอาคาร เป็นชิ้นส่วนของ เสา คาน โครงหลังคา ฯลฯ H-BEAM มีขนาดหน้าตัดให้เลือกที่หลากหลาย ตั้งแต่ H100x50mm. จนถึงขนาดใหญ่สุด H900x300mm. ทำให้ H-BEAM นั้นถูกเลือกใช้ในงานที่หลากหลาย ทั้งโครงสร้างอาคาร โครงหล้งคา โครงสร้างโรงงาน หรืองานโครงการขนาดใหญ่เป็นต้น เช่น โรงจอดเครื่องบินเหล็กไอบีม I-beam เหล็กไอบีม I-beam จะนิยมนำไปทำรางเคน Crane Girder ที่ไว้ใช้ยกของที่มีน้ำหนักมาก แะเหล็กไอบีมนี้ ถูกผลิตขึ้นมากเพื่อใช้ในงานที่เฉพาะเจาะจงมากกว่า เช่น รางเลื่อนของเครนในโรงงานอุตสาหกรรม เพราะความหนาของ Flange ปีกที่ยื่นออกมา ที่มาก และมีลักษระ Taper เรียวที่ปลาย ไม่เหมือนกับ H-beam ที่มีความหนาของ Flange เท่ากันตลอด ส่งผลให้โดยทั่วไป I-beam จะสามารถรับแรงกระแทกได้ดี แต่ก็จะมีน้ำหนักที่มากกว่า เอชบีม H-Beam ในขณะที่หน้าตัดเท่ากัน เช่น H 300x150x6.5x9mm. นน. 36.7 กก./ม. I 300x150x8x13mm. นน. 48.3 กก./ม. ซึ่งจะเห็นได้ว่า I-Beam มีน้ำหนักมากกว่าถึง 32%ด้านลักษณะรูปร่าง จุดแตกต่างของเหล็กทั้ง 2 หน้าตัด คือ ปีก Flange ทั้งบนและล่างของเหล็ก H-beam จะเป็นแผ่นเรียบหนาเท่ากันตลอด ส่วนของเหล็กไอบีม I-beam ทั้งปีกบนและล่างจะเป็นแผ่นเอียง หรือ Taper Flange ซึ่งขนาดหน้าตัดเหล็กที่เท่ากัน I-beam จะมีน้ำหนักต่อเมตรสูงกว่า H-beam เนื่องจากเหล็ก I-beam จะมีความหนาของเหล็กมากกว่าเพื่อรองรับแรงกระแทก และการเคลื่อนที่จากรางเครน
โดย saweang | ม.ค. 20, 2023 | บทความเกี่ยวกับเหล็ก
ผู้ออกแบบหลายท่านคงเคยมีข้อสงสัยว่า การเลือก “วัสดุเหล็กรูปพรรณ” ที่จะนำมาใช้ในงานออกแบบนั้น ควรเลือกใช้อย่างไรให้เหมาะสมกับการก่อสร้าง แม้ว่าเราอาจจะคุ้นเคยกับการใช้เหล็ก H-BEAM กันมาบ้างแล้ว แต่การรู้จักวัสดุเหล็กประเภทต่าง ๆ ก็ยังช่วยให้เราสามารถวางแผนการสั่งเหล็กเพื่อการดีไซน์ได้ประหยัดมากขึ้น และเพื่อโครงสร้างอาคารที่ยั่งยืนกว่า
สำหรับเหล็กรูปพรรณโครงสร้างที่ใช้กันทั่วไปในงานอาคารที่พักอาศัย สามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเภทหลัก ๆ ได้แก่ เหล็กโครงสร้างรูปพรรณรีดร้อน (Hot rolled structural steel) และเหล็กโครงสร้างรูปพรรณขึ้นรูปเย็น (Cold formed structural steel) ซึ่งมีความแตกต่างกันตั้งแต่กระบวนการผลิต และการนำไปใช้
กระบวนการผลิต เหล็กรีดร้อน vs เหล็กขึ้นรูปเย็น
เหล็กโครงสร้างรูปพรรณรีดร้อน หรือ “เหล็กรีดร้อน” ที่เรารู้จัก คือเหล็กที่ผ่านกรรมวิธีการผลิตโดยการรีดให้มีหน้าตัดและรูปทรงตามที่ต้องการ ภายใต้อุณภูมิสูงถึงประมาณ 1,200 องศา จึงสามารถรีดเหล็กให้มีหน้าตัดที่ใหญ่ มีความหนาและผลิตได้หลายรูปทรง ได้แก่ เหล็กเอชบีม (H-beam), ไอบีม (I-Beam), เหล็กรางน้ำ (Channel), เหล็กฉาก (Angle) และ คัทบีม (Cut Beam) เหมาะสำหรับการใช้งานหลากหลายรูปแบบ
ส่วนอีกประเภทหนึ่ง คือ เหล็กโครงสร้างรูปพรรณขึ้นรูปเย็น หรือ “เหล็กขึ้นรูปเย็น” เกิดจากการขึ้นรูปเหล็กแผ่นในอุณหภูมิปกติ โดยใช้การพับหรือม้วนงอแผ่นเหล็ก และเชื่อมเหล็กเข้าด้วยกันให้มีรูปทรงตามต้องการ เช่น เหล็กกล่อง, เหล็กท่อกลม, เหล็กตัวซี (Light Lip Channel)
ซึ่งหลายคนอาจจำสับสนกับ “เหล็กรีดเย็น (Cold-Rolled)” ที่เกิดจากการนำแผ่นเหล็กรีดร้อนชนิดม้วน มารีดเย็นต่อเพื่อลดความหนา ซึ่งไม่เหมาะสำหรับงานโครงสร้างแต่เหมาะกับงานที่ต้องการความบางและคุณภาพผิวสูง อาทิเช่น แผ่นหลังคา เฟอร์นิเจอร์ เครื่องใช้ไฟฟ้า เป็นต้น
เหล็กรีดร้อน กับการรับแรงที่เหนือกว่า
เนื่องจากเหล็กรีดร้อน ถูกรีดในขณะที่เหล็กมีอุณหภูมิสูง เหล็กที่รีดจึงได้รับความร้อนและเย็นตัวลงเป็นลำดับทำให้ผลึกเหล็กมีความละเอียดมากขึ้น เหล็กประเภทนี้จึงมีกำลังและความเหนียวสูง
ผลิตภัณฑ์เหล็กที่ได้จะมีหน้าตัดใหญ่ มีความแข็งแรงและคงทนกว่า จึงเหมาะสำหรับการนำไปใช้กับงานโครงสร้างหลัก อย่าง เสา-คานหลัก เพื่อรับน้ำหนักพื้น รับโครงหลังคาช่วงพาดกว้าง หรือแม้แต่โครงหลังคาดาดฟ้าที่ต้องรับคอนกรีตซึ่งมีน้ำหนักมาก ๆ เป็นต้น
ในขณะที่เหล็กขึ้นรูปเย็น เนื้อเหล็กจะมีความเหนียวน้อยและบางกว่า มีหน้าตัดที่เล็กกว่าเหล็กรีดร้อน จึงควรใช้กับงานโครงสร้างชั่วคราว เช่น นั่งร้าน ศาลาพักคอย หรือโครงสร้างส่วนที่ไม่เน้นการรับน้ำหนัก เช่น งานหลังคา โดยข้อดีของน้ำหนักที่เบาของวัสดุก็สามารถใช้ทดแทนโครงสร้างส่วนที่รับแรงน้อย เพื่อลดน้ำหนักและขนาดของเหล็กลงได้
หน้าตัดเหล็ก ช่วยลดภาวะการเกิดสนิม
เหล็กรีดร้อนมีคุณสมบัติที่โดดเด่น ทั้งเรื่องความหนาและรูปทรง โดยจะมีหน้าตัดแบบ Open section ที่สามารถทำสีได้ทุกพื้นที่ผิวรอบด้าน ไม่มีรูกลวงด้านใน ลดภาวะการเกิดสนิมในอนาคต
แตกต่างกับเหล็กขึ้นรูปเย็นที่เกิดจากการพับเหล็กที่มีความบางเป็นหน้าตัดแบบ Close section มีลักษณะเป็นกล่องหรือท่อกลม ซึ่งอากาศและความชื้นสามารถเข้าไปก่อเกิดเป็นสนิมทั้งด้านในและบริเวณโคนเสาได้ง่ายกว่า เหล็กรีดร้อนหรือเหล็กบีมจึงง่ายต่อการบำรุงรักษาและมีอายุการใช้งานที่ยาวนานกว่าเหล็กขึ้นรูปเย็น
มาตรฐานผลิตภัณฑ์เหล็กรูปพรรณรีดร้อนจาก SYS
นอกจากเหล็กรูปพรรณรีดร้อนจะมีความแข็งแรงมากกว่า ในกระบวนการผลิตยังต้องผ่านมาตรฐานอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นมาตรฐานบังคับเพื่อควบคุมคุณภาพเหล็กให้ดีที่สุด ซึ่งมีความสำคัญต่อการก่อสร้างเพราะส่งผลอย่างยิ่งต่อความปลอดภัยแก่ชีวิตและทรัพย์สินของผู้อยู่อาศัย
ซึ่งมั่นใจได้เลยในผลิตภัณฑ์เหล็กรูปพรรณรีดร้อนจาก SYS ด้วยคุณภาพ สอดคล้องตามคุณสมบัติ ตลอดจนชั้นคุณภาพต่าง ๆ และมีการผลิตที่ได้มาตรฐานตาม มอก.1227: 2558 อีกทั้งเหล็ก H-BEAM ยังตอบโจทย์อย่างครอบคลุมกับการใช้งานในทุกองค์ประกอบของโครงสร้าง ไม่ว่าจะเป็นงานเสา คาน หรืองานหลังคา ก็สามารถใช้ได้โดยไม่ต้องเปลี่ยน จึงเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยให้การทำงานในโครงการของคุณสะดวกมากยิ่งขึ้น
เหล็กรูปพรรณ คืออะไร
เหล็กรูปพรรณ เป็นเหล็กชนิดหนึ่งที่มีการแปรรูปออกมาเป็นเหล็กชนิดอื่น ๆ หรือเป็นวัสดุรูปทรงต่างๆ เพื่อให้เกิดความสะดวกในการใช้งาน ถ้าหากต้องการอธิบายให้เห็นภาพ เหล็กรูปพรรณก็เหมือนกับทองคำ ทองคำตามธรรมชาติจะมีลักษณะเป็นก้อนที่ไม่มีรูปทรง เมื่อต้องการนำมาทำเป็นทองคำแท่ง หรือทำเป็นเครื่องประดับ เช่น สร้อยคอ กำไล แหวน ก็จะต้องมีการแปรรูปทองให้ออกมาตามลักษณะนั้น ๆ เหล็กรูปพรรณเองก็เช่นกัน โดยลักษณะของการแปรรูปเหล็กรูปพรรณที่สามารถพบเห็นได้บ่อยที่สุด มีดังต่อไปนี้
เหล็กแผ่น เหล็กแผ่น มีทั้งแบบแผ่นดำ และแผ่นขาว แต่ส่วนใหญ่มักจะมีการใช้เหล็กแผ่นดำมากกว่า สำหรับความแตกต่างของเหล็กแผ่นดำและเหล็กแผ่นขาวนั้น อยู่ที่ขนาดของมัน โดยเหล็กแผ่นดำ จะมีขนาดตั้งแต่ 4×8 ฟุต จนถึง 5×20 ฟุต แต่ถ้าหากเป็นเหล็กแผ่นขาว จะมีขนาดเดียวคือขนาด 4×8 ฟุต ซึ่งเป็นขนาดที่เล็กที่สุดของเหล็กแผ่นดำ แต่ในส่วนของความหนานั้น มีให้เลือกหลายขนาดไม่ต่างกันเลย เหล็กแผ่นดำจะมีชื่อเรียกอีกมากมาย เช่น เหล็กแผ่น (เรียกแบบโดยตรง) เหล็ก Plate และในปัจจุบันนี้ก็มีเหล็กแผ่นถูกผลิตขึ้นมาอีก 1 แบบ ซึ่งก็คือเหล็กแผ่นแบบลาย ถ้าใครนึกไม่ออกว่าแผ่นเหล็กลายเป็นอย่างไร ให้นึกถึงสะพานลอยที่มีการปูพื้นด้วยเล็กแล้วมีลวดลายที่พื้นเหมือนรูปกากบาท นั่นคือเหล็กแผ่นลายที่เรากำลังกล่าวถึงอยู่ เหล็กแผ่น มักจะนิยมนำไปใช้กับงานโครงสร้างอาคาร งานโครงสร้างรถยนต์ และงานปูพื้นโรงงานอุตสาหกรรม
เหล็กแบน เป็นเหล็กที่มีลักษณะคล้ายกับเหล็กแผ่น แต่แตกต่างกันที่ความหนาและความยาว เหล็กแบนที่นิยมใช้กันมีขนาดอยู่ที่ ยาว 6 เมตร หนา 3 มิลลิเมตร และมีหน้ากว้าว 25 มิลลิเมตร แต่อาจจะสั่งทำให้มีขนาดหนาหรือหน้ากว้างตามที่ต้องการได้ สำหรับเล็กแบน มีชื่อเรียกอื่น ๆ อีก คือ Flat Bars หรือ F/B เหล็กแบนนิยมนำไปใช้กับงานก่อสร้าง นำไปทำงานเชื่อม เช่น งานฝาตะแกรง งานเหล็กดัด งานแหนบรถยนต์ เป็นต้น
เหล็กโครงสร้างรูปตัวซี (Lip Channel) หรือที่เหล่าวิศวกรมักจะเรียกสั้น ๆ ว่าเหล็กตัวซี สาเหตุที่เรียกว่าตัวซี ก็เพราะว่ามีการขึ้นเหล็กรูปพรรณให้เป็นรูปตัวซี (มองจากด้านข้าง) นิยมนำไปใช้กับงานโครงสร้างอาคารใหญ่ ๆ รวมถึงงานสะพาน และงานอาคารสูง คนทั่วไปที่ไม่ได้อยู่ในแวดวงวิศวกรรมอาจเกิดความสับสนระหว่างเหล็กตัวซี และเหล็กรางน้ำได้ จึงขอนำรูปมาเปรียบเทียบให้เห็นความชัดเจนดังต่อไปนี้
ขอบคุณข้อมูลจากhttps:hbeamconnect.com/blog/what-are-the-types-of-profiled-steel/
โดย saweang | ม.ค. 16, 2023 | บทความเกี่ยวกับเหล็ก
เหล็กรางน้ำ และ เหล็กตัวซี มีความแตกต่างกันอย่างไร มาทำความรู้จักกับเหล็กรางน้ำ และ เหล็กตัวซีกันก่อนว่าเหล็กทั้งสองชนิดนี้มีความแตกต่างกันอย่างไร แล้วเหล็กทั้งสองชนิดนี้จะถูกนำมาใช้งานได้อย่างเหมาะสมได้อย่างไรกัน
เหล็กรูปพรรณ เป็นเหล็กชนิดหนึ่งที่มีการแปรรูปออกมาเป็นเหล็กชนิดอื่น ๆ หรือเป็นวัสดุรูปทรงต่างๆ เพื่อให้เกิดความสะดวกในการใช้งาน ถ้าหากต้องการอธิบายให้เห็นภาพ เหล็กรูปพรรณก็เหมือนกับทองคำ
ทองคำตามธรรมชาติจะมีลักษณะเป็นก้อนที่ไม่มีรูปทรง เมื่อต้องการนำมาทำเป็นทองคำแท่ง หรือทำเป็นเครื่องประดับ เช่น สร้อยคอ กำไล แหวน ก็จะต้องมีการแปรรูปทองให้ออกมาตามลักษณะนั้น ๆ เหล็กรูปพรรณเองก็เช่นกัน โดยลักษณะของการแปรรูปเหล็กรูปพรรณที่สามารถพบเห็นได้บ่อยที่สุด มีดังต่อไปนี้
เหล็กรางน้ำเป็นเหล็กรูปพรรณรีดร้อน ขั้นตอนการรีดจะต้องใช้อุณหภูมิสูงประมาณ 1,200 องศา เพื่อจะได้รูปทรงตามที่ต้องการ และมีลักษณะเป็นเส้นตรงมีความยาวมากกว่า 6 เมตร มีหน้าตัดที่คล้ายตัวยู (U) มีขาทั้งสองขาที่ยาวเท่า ๆ กันจะมีความคล้ายกับเหล็กตัวซี
แต่หากเรามองและพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้ว ก็จะเห็นถึงความแตกต่างกันอยู่บ้าง แต่เหล็กรางน้ำมักนิยมนำไปใช้กับงานที่โครงสร้างใหญ่ ๆ และต้องการรองรับน้ำหนักจำนวนมาก จำพวกเช่น สะพานข้ามแม่น้ำ สะพานข้ามแยก งานบันได โครงสร้างบ้านต่าง ๆ หลังคาโรงงาน ป้ายโฆษณาขนาดใหญ่ เสาสื่อสารโทรคมนาคม เสาสายส่งไฟฟ้าแรงสูง งานเหล่านี้เป็นต้น
ประโยชน์ของเหล็กรางน้ำเหล็กรางน้ำจะค่อนข้างสะดวกต่อการติดตั้ง ทั้งยังประหยัดและรวดเร็วในการติดตั้ง แต่ด้วยน้ำหนักที่เบาจึงทำให้น้ำหนักของฐานรากเบาลงไปด้วย
เหล็กรางน้ำ (CHANNEL)
อย่างที่ได้กล่าวไปแล้วว่ามีลักษณะคล้ายกับเหล็กตัวซี แต่ถ้าหากพิจารณากันดี ๆ ก็ยังพอจะเห็นความแตกต่างได้อยู่บ้าง การที่เรียกว่าเหล็กรางน้ำ ก็เพราะมีลักษณะคล้ายกับรางน้ำที่ทำขึ้นเพื่อการระบายน้ำออก แต่ไม่ได้แปลว่าจะนำไปใช้กับงานที่เกี่ยวข้องกับน้ำเลย เหล็กรางน้ำนิยมนำไปใช้กับงานโครงสร้างใหญ่ ๆ ที่ต้องมีการรับน้ำหนักมาก เช่น งานเสาตอม่อ งานสะพานข้ามแม่น้ำ หรือสะพานข้ามแยก รวมถึงงานหลังคา
เหล็กตัวซี เปรียบเสมือนตัวแทนไม้เนื้อแข็ง ถือเป็นหนึ่งในเหล็กรูปพรรณ ที่ถูกนำมาแปรรูปด้วยขั้นตอนของการรีดร้อนให้ได้สัดส่วน เป็นเหล็กโครงสร้างรูปพรรณขึ้นรูปเย็น เหล็กตัวซีจะให้ความรู้สึกที่คล้ายเหล็กรางน้ำ โดยมีลักษณะความยาวตามมาตรฐานอยู่ที่ประมาณ 6 เมตร
เหล็กโครงสร้างรูปตัวซี (Lip Channel)
หรือที่เหล่าวิศวกรมักจะเรียกสั้น ๆ ว่าเหล็กตัวซี สาเหตุที่เรียกว่าตัวซี ก็เพราะว่ามีการขึ้นเหล็กรูปพรรณให้เป็นรูปตัวซี (มองจากด้านข้าง) นิยมนำไปใช้กับงานโครงสร้างอาคารใหญ่ ๆ รวมถึงงานสะพาน และงานอาคารสูง คนทั่วไปที่ไม่ได้อยู่ในแวดวงวิศวกรรมอาจเกิดความสับสนระหว่างเหล็กตัวซี และเหล็กรางน้ำได้
หน้าที่สำคัญของเหล็กตัวซี คือ จะใช้ทำงานสำหรับโครงหลังคา รวมถึงเป็นที่ยึดเสาไม้ค้ำยันที่ไม่จำเป็นต้องรับน้ำหนักมากจนเกินไป เพราะด้วยส่วนใหญ่แล้วเหล็กตัวซีจะถูกนำมาใช้สำหรับการทำโครงร่างของหลังคา โครงสร้างของโรงงานอุตสาหกรรม โครงสร้างสะพาน โครงสร้างอาคารสูง โดยส่วนประกอบของเหล็กรูปพรรณทางเคมีจะมี คาร์บอน ซิลิคอน แมงกานีส ฟอสฟอรัส และกำมะถัน เป็นต้น
ตารางเหล็กเอชบีม, ขนาดเหล็กเอชบีม, ตารางน้ำหนักเหล็กเอชบีม, ขนาดเสาเอชบีม, น้ำหนักเหล็ก H Beam