google.com, pub-1539147387772263, DIRECT, f08c47fec0942fa0
เหล็กเอชบีม เหล็กไอบีม ต่างกันอย่างไร

เหล็กเอชบีม เหล็กไอบีม ต่างกันอย่างไร

เหล็กเอชบีม H Beam steel แข็งแรงไหม ?

เหล็กเอชบีมเป็นโครงสร้างขนาดใหญ่ วัสดุที่มีความแข็งสูงมาก สามารถนำไปประกอบโครงสร้างงานที่ต้องรับน้ำหนักได้ดี แต่ว่าอาจจะไม่เหมาะกับงานที่ต้องรับแรงกระแทกเยอะ

         เหล็กไอบีมและเหล็กเอชบีม เหล็กทั้ง 2 ถ้าหากมอง อาจจะรู้สึกว่ามีลักษณะคล้ายกัน และน่าจะใช้งานทดแทนกันได้ แต่ความจริงแล้วไม่สามารถใช้งานแทนกันได้  เนื่องจากเหล็กเอชบีมนั้นจะเหมาะกับงานก่อสร้างอาคารขนาดใหญ่

         โดยจะนำไปประกอบเป็นเสา คาน และโครงหลังคา ส่วนเหล็กไอบีมจะนิยมนำไปทำรางเคน (Crane Girder) สำหรับยกสิ่งของที่มีน้ำหนักเยอะๆ และจะใช้ประกอบรางเลื่อนในโรงงานอุตสาหกรรม  ดังนั้นจึงไม่ควรทำเหล็กทั้งสองชนิดนี้มาใช้งานทดแทนกันเด็ดขาด 

ขนาดความยาวของเหล็กไอบีม เหล็กเอชบีม  6เมตร ,9เมตรและ 12เมตร 

เหล็กเอชบีม H-beam ไอบีม I-beam ต่างกันอย่างไร? เหล็กทั้ง 2 หน้าตัดนี้ มีข้อแตกต่างกันอยู่ 2 ด้าน คือ
ด้านการนำไปใช้งาน
        เหล็กเอชบีม H-beam ไวด์แฟรงค์ Wide Flange และ จะนำไปใช้ในงานก่อสร้างอาคาร เป็นชิ้นส่วนของ เสา คาน โครงหลังคา ฯลฯ เหล็กไอบีม I-beam จะนิยมนำไปทำรางเคน Crane Girder ที่ไว้ใช้ยกของที่มีน้ำหนักมาก

ด้านลักษณะรูปร่าง
        จุดแตกต่างของเหล็กทั้ง 2 หน้าตัด คือ ปีก Flange ทั้งบนและล่างของเหล็ก H-beam จะเป็นแผ่นเรียบหนาเท่ากันตลอด เป็นรูปตัว H เท่ากันทั้งปีกและส่วนเสา ส่วนเหล็กเสาไวด์แฟรงค์ Wide Flange จะ มีความหนาเท่ากันตลอดเช่นกัน

        แต่ส่วนปีก จะมีความกว้างไม่เท่ากับความกว้างเสา ส่วนของเหล็กไอบีม I-beam ทั้งปีกบนและล่างจะเป็นแผ่นเอียง หรือ Taper Flange ซึ่งขนาดหน้าตัดเหล็กที่เท่ากัน I-beam จะมีน้ำหนักต่อเมตรสูงกว่า H-beam เนื่องจากเหล็ก I-beam จะมีความหนาของเหล็กมากกว่าเพื่อรองรับแรงกระแทก และการเคลื่อนที่จากรางเครน

 

เหล็กเอชบีม คืออะไร

 เหล็กเอชบีม คือ เหล็กที่มีขนาดขาสองมีความยาวเท่ากัน รูปตัวเอช (H) จึงอาจจะมีคนเรียกชื่อเหล็กเอชบีม เป็น เหล็กตัวเอช เหล็กบีม เสาเอช เหล็กปีกไอ เสาบีม ซึ่งทุกชื่อนั้นหากได้ยินที่ไหนให้ระลึกไว้เลยว่าทั้งหมดคือเหล็กชนิดเดียวกัน เหล็กบีมเป็นเหล็กที่มีเกิดจากเหล็กรูปพรรณรีดร้อนในลักษณะหน้าตัดของเหล็กเป็นรูปตัวเอช (H) ที่มีขนาดความสูง-กว้างทุกด้านเท่ากัน มีจุดเด่นตรงที่สามารถทนรับแรงกดทับ และรับน้ำหนักในงานโครงสร้างใหญ่มากๆ ได้ดี

ข้อดีของเหล็กเอชบีม

  • ช่วยลดระยะเวลาการก่อสร้างช่วยให้ขึ้นโครงสร้างได้รวดเร็ว ลดการใช้แรงงานน้อยกว่า

  • ช่วยให้การออกแบบโครงสร้างง่ายกว่า เนื่องจากการใช้เหล็กบีมจะช่วยให้ช่วงเสามีพื้นที่กว้าง กว่า และออกแบบได้หลากหลายรูปร่างมากกว่า

  • เหล็กบีมมีน้ำหนักเบา ช่วยลดภาระการขนส่ง

  • มีความแข็งแรง ทนทานสูง

  • สามารถดัดแปลง ต่อเติม ได้ง่าย โดยที่ไม่ต้องทุบรื้อโครงสร้างเติม

  • ระหว่างการก่อนสร้างไม่ก่อให้เกิดฝุ่นละออง

เหล็กเอชบีม ใช้ทําอะไร เหมาะกับงานชนิดไหน

การใช้เหล็กเอชบีมนิยมใช้ในงานก่อสร้างขนาดใหญ่ หรือขึ้นโครงหลังคาของอาคาร โรงงาน บ้านพักอาศัยที่มีขนาดใหญ่

ขนาดเหล็กเอชบีมมีขนาดเท่าไรบ้าง

เหล็กเอชบีมโดยทั่วไปแล้วจะแบ่งออกเป็น 2 Grade คือ

  •  SS400, SS490, SS540 มีค่าบ่งบอกคุณภาพของการรับแรงอยู่ที่ 235-245 N / mm2  (~2,400 ksc)

  •  SM400, SM490, SM520 มีค่าบ่งบอกคุณภาพของการรับแรงอยู่ที่ 355-365 N / mm2  (~3,600 ksc)

มีความยาวให้เลือกใช้คือ 1 เมตร, 6 เมตร,  9 เมตร, 12 เมตร และมีขนาด น้ำหนักและราคาดังนี้

ตารางน้ำหนักเหล็กเหล็กเอชบีม  H-Beam Steel

ขนาดเหล็กเอชบีม น้ำหนักเหล็กเอชบีมต่อเส้น (กก.)
เหล็กเอชบีม 100x100x6x8mm ยาว 6ม. 103.20
เหล็กเอชบีม 100x100x6x8mm ยาว 6ม 206.40
เหล็กเอชบีม 125x125x6.5x9mm ยาว 6ม. 142.80
เหล็กเอชบีม 125x125x6.5×9มม. ยาว 12ม. 285.60
เหล็กเอชบีม 150x150x7x10มม. ยาว 6ม. 189.00
เหล็กเอชบีม 150x150x7x10มม. ยาว 9ม. 283.50
เหล็กเอชบีม 150x150x7x10มม. ยาว 12ม. 378.00
เหล็กเอชบีม 175x175x7.5×11มม. ยาว 6ม. 241.20
เหล็กเอชบีม 175x175x7.5×11มม. ยาว 12ม 482.40
เหล็กเอชบีม 200x200x8x12มม. ยาว 6ม. 299.40
เหล็กเอชบีม 200x200x8x12มม. ยาว 9ม. 449.10
เหล็กเอชบีม 200x200x8x12มม. ยาว 12ม. 598.80
เหล็กเอชบีม 250x250x9x14มม. ยาว 6ม. 434.40
เหล็กเอชบีม 250x250x9x14มม. ยาว 9ม. 651.60
เหล็กเอชบีม 250x250x9x14มม. ยาว 12ม. 868.80
เหล็กเอชบีม 300x300x10x15มม. ยาว 6ม. 564.00
เหล็กเอชบีม 300x300x10x15มม. ยาว 6ม.  564.00
เหล็กเอชบีม 300x300x10x15มม. ยาว 9ม. 846.00
เหล็กเอชบีม 300x300x10x15มม. ยาว 12ม. 1,128.00
เหล็กเอชบีม 350x350x12x19มม. ยาว 6ม. 822.00
เหล็กเอชบีม 350x350x12x19มม. ยาว 9ม. 1,233.00
เหล็กเอชบีม 350x350x12x19มม. ยาว 12ม. 1,644.00
เหล็กเอชบีม 400x400x13x21มม. ยาว 6ม. 1,032.00
เหล็กเอชบีม 400x400x13x21มม. ยาว 9ม. 1,548.00

เหล็กเอชบีม เหล็กไอบีม และเหล็กไวด์แฟลงจ์

เหล็กเอชบีม เหล็กไอบีม และเหล็กไวด์แฟลงจ์

  เหล็กโครงสร้างขนาดใหญ่   ใช้สำหรับงานโครงสร้างเสาและโครงถักขนาดใหญ่ โดยเรียกชื่อว่าประเภทเหล็กว่า กลุ่มเหล็กเอชบีม ซึ้งจะแยกเป็น เหล็กเอชบีม เหล็กไอบีมและเหล็กไวค์แฟรงค์ข้อแตกต่างระหว่างเหล็ก เฮชบีม H-Beam ไอบีม I-Beam ไวด์แฟลงจ์ Wide-Flange

           เหล็กเอชบีม (H-beam เป็นเหล็กโครงสร้างรูปพรรณรีดร้อน อีกแบบหนึ่ง เหมาะสำหรับงานโครงสร้าง ซึ่งพบเห็นได้ทั่วไปในงาน โครงสร้างเหล็ก ซึ่งใช้ร่วมกับ เหล็กรูปพรรณอื่นๆได้ เช่น เหล็กรางน้ำ เหล็กกล่อง เป็นต้น

ลักษณะสำคัญของเหล็กเอชบีม H Beam 

ลักษณะของเหล็ก จะคล้ายรูปตัว H มีขนาด ด้านกว้างและด้านยาวเท่ากัน เช่น เหล็กเอชบีม H-beam 100×100  ( ลักษณะที่เด่นชัดคือปีกที่กว้างที่เท่ากัน )  เกรดเหล็กเอชบีม SS400 , SM520 ความยาวปกติ 6 M. / 9 M. / 12 M.

การผลิตเหล็กเอชบีม

เหล็กเอชบีม (H-BEAM) คือ เหล็กรูปพรรณรีดร้อน (Hot-Rolled Structural Steel) ที่เกิดจากการหลอมและหล่อเป็นเหล็กแท่ง แล้วรีดในขณะที่เหล็กยังร้อนให้มีหน้าตัดเป็นรูปตัวอักษรภาษาอังกฤษ “H” ตามการเรียกชื่อ รูปแบบของหน้าตัดจะมีปีก (Flange) กว้างออกมาจากเอว (Web) ตรงกลาง โดยจะมีความหนาของเหล็กในส่วนปีกเท่ากันตลอด ไม่มีการปาดหรือลบมุมที่ปลายปีก

การใช้งานเหล็กเอชบีม

เหล็กเอชบีมเหมาะสำหรับการใช้งานเป็นโครงสร้างคาน เสา และโครงสร้างหลังคา ทั้งในอาคารบ้านพักอาศัย โรงงาน อาคารสูง หรือสนามกีฬา ทั้งนี้เหล็กเอชบีม (H-BEAM) ตามมาตรฐาน ASTM ของประเทศสหรัฐอเมริกาจะเรียกว่าเหล็ก Wide Flange (W-Shape)

ปัจจุบันเหล็กเอชบีม (H-BEAM) รวมทั้งเหล็กรูปพรรณแบบต่างๆ สามารถผลิตได้ภายในประเทศไทยและได้รับความนิยมมากในงานก่อสร้าง เนื่องจากงานก่อสร้างด้วยโครงสร้างเหล็กมีความสะดวกรวดเร็ว ไม่จำเป็นต้องรอให้แห้งหรือเซตตัวต่างจากงานคอนกรีต สามารถดัดโค้งได้ มีขนาดที่ได้มาตรฐานเนื่องจากผลิตมาจากโรงงาน เป็นการก่อสร้างด้วยระบบแห้งหน้างานจึงไม่สกปรกเลอะเทอะ สามารถนำมาดัดแปลง ต่อเติม และรื้อถอนได้ง่าย และยังสามารถนำกลับมาใช้งานใหม่ได้อีกครั้งอีกด้วย

%e0%b9%80%e0%b8%ab%e0%b8%a5%e0%b9%87%e0%b8%81-sys-6-%e0%b8%ab%e0%b8%99%e0%b9%89%e0%b8%b2%e0%b8%95%e0%b8%b1%e0%b8%94-2021-01

ความแตกต่างระหว่างเหล็ก I Beam กับเหล็ก H Beam

หลายท่านคงมีความสงสัยว่าเหล็ก 2 ตัวนี้ แตกต่างกันอย่างไร ซึ่งเหล็กทั้ง 2 หน้าตัดนี้ มีข้อแตกต่างกันอยู่ 2 ด้าน คือ

  1. ด้านการนำไปใช้งานเหล็กเอชบีม H-beam จะนำไปใช้ในงานก่อสร้างอาคาร เป็นชิ้นส่วนของ เสา คาน โครงหลังคา ฯลฯ H-BEAM มีขนาดหน้าตัดให้เลือกที่หลากหลาย ตั้งแต่ H100x50mm. จนถึงขนาดใหญ่สุด H900x300mm. ทำให้ H-BEAM นั้นถูกเลือกใช้ในงานที่หลากหลาย ทั้งโครงสร้างอาคาร โครงหล้งคา โครงสร้างโรงงาน หรืองานโครงการขนาดใหญ่เป็นต้น เช่น โรงจอดเครื่องบิน เหล็กไอบีม I-beam จะนิยมนำไปทำรางเคน Crane Girder ที่ไว้ใช้ยกของที่มีน้ำหนักมาก แะเหล็กไอบีมนี้ ถูกผลิตขึ้นมากเพื่อใช้ในงานที่เฉพาะเจาะจงมากกว่า เช่น รางเลื่อนของเครนในโรงงานอุตสาหกรรม เพราะความหนาของ Flange ปีกที่ยื่นออกมา ที่มาก และมีลักษระ Taper เรียวที่ปลาย ไม่เหมือนกับ H-beam ที่มีความหนาของ Flange เท่ากันตลอด ส่งผลให้โดยทั่วไป I-beam จะสามารถรับแรงกระแทกได้ดี แต่ก็จะมีน้ำหนักที่มากกว่า เอชบีม H-Beam ในขณะที่หน้าตัดเท่ากัน เช่น

  • H 300x150x6.5x9mm. นน. 7 กก./ม.

  • I 300x150x8x13mm. นน. 3 กก./ม. ซึ่งจะเห็นได้ว่า I-Beam มีน้ำหนักมากกว่าถึง 32%

  1. ด้านลักษณะรูปร่าง แตกต่างของเหล็กทั้ง 2 หน้าตัด คือ ปีก Flange ทั้งบนและล่างของเหล็ก H-beam จะเป็นแผ่นเรียบหนาเท่ากันตลอด ส่วนของเหล็กไอบีม I-beam ทั้งปีกบนและล่างจะเป็นแผ่นเอียง หรือ Taper Flange ซึ่งขนาดหน้าตัดเหล็กที่เท่ากัน I-beam จะมีน้ำหนักต่อเมตรสูงกว่า H-beam เนื่องจากเหล็ก I-beam จะมีความหนาของเหล็ก

 
 
ข้อดีของการใช้เหล็กรูปพรรณรีดร้อน

  • ลดระยะเวลาการก่อสร้าง ทำให้ลดภาระดอกเบี้ยของโครงการ เปิดใช้งานได้รวดเร็ว 
  • เตรียมงานจากโรงงานได้ และใช้แรงงานน้อยกว่าการก่อสร้างด้วยระบบอื่น
  • ออกแบบโครงสร้างให้มีช่วงเสากว้าง กว่าโครงสร้างระบบอื่น ไม่เปลืองพื้นที่ใช้งาน
  • ออกแบบงานสถาปัตยกรรมได้หลากหลายเช่น ตัดโค้ง ทำใครงสร้างโปร่ง หรือทำส่วนยื่่นได้มาก
  • โครงสร้างมีน้ำหนักเบา ทำให้ประหยัดฐานราก ลดการขนส่ง และพื้นที่กองเก็บวัสดุ
  • ตรวจสอบ ควบคุมคุณภาพ และบำรุงรักษาได้สะดวกกว่าโครงสร้างอื่น 
  • มีความแข็งแรง สามารถรับแรงสั่นสะเทือนและแผ่นดินไหว ได้ดีกว่าโครงสร้างระบบอื่น 
  • ก่อสร้างในที่จำกัดได้สะดวก ไม่ก่อให้เกิดมลภาวะฝุ่น
  • ดัดแปลง ต่อเติม หรือรื้อไปสร้างใหม่ได้ ไม่ต้องทุบทิ้ง 
  • สามารถนำวัสดุมาหมุนเวียนได้ 100% 

ขั้นตอนการผลิตโดยสังเขปเนื่องจากผลิตโดยการหลอมและรีดร้อนขึ้นเป็นท่อน เหล็กโครงสร้างชนิดนี้จึงมีเนื้อเดียวกัน ไม่มีรอยเชื่อมระหว่างส่วนต่างๆ ดังนั้นคุณสมบัติของหน้าตัดจึงสม่ำเสมอกว่าเหล็กโครงสร้างชนิดอื่นเช่น เหล็กรูปพรรณกลวงซึ่งทำจากเหล็กม้วนและเชื่อมตามยาว กับเหล็กโครงสร้างรูปพรรณเชื่อมประกอบที่ทำจากเหล็กแผ่นสามชิ้นเชื่อมเข้าด้วยกัน 

เหล็ก เอชบีม H-Beam ต่างกับ I-Beam อย่างไร? เหล็กทั้ง 2 หน้าตัดนี้ มีข้อแตกต่างกันอยู่ 2 ด้าน คือ ด้านการนำไปใช้งาน เหล็กเอชบีม H-beamเหล็กเอชบีม H-beam จะนำไปใช้ในงานก่อสร้างอาคาร เป็นชิ้นส่วนของ เสา คาน โครงหลังคา ฯลฯ H-BEAM มีขนาดหน้าตัดให้เลือกที่หลากหลาย ตั้งแต่ H100x50mm. จนถึงขนาดใหญ่สุด H900x300mm. ทำให้ H-BEAM นั้นถูกเลือกใช้ในงานที่หลากหลาย ทั้งโครงสร้างอาคาร โครงหล้งคา โครงสร้างโรงงาน หรืองานโครงการขนาดใหญ่เป็นต้น เช่น โรงจอดเครื่องบินเหล็กไอบีม I-beam เหล็กไอบีม I-beam จะนิยมนำไปทำรางเคน Crane Girder ที่ไว้ใช้ยกของที่มีน้ำหนักมาก แะเหล็กไอบีมนี้ ถูกผลิตขึ้นมากเพื่อใช้ในงานที่เฉพาะเจาะจงมากกว่า เช่น รางเลื่อนของเครนในโรงงานอุตสาหกรรม เพราะความหนาของ Flange ปีกที่ยื่นออกมา ที่มาก และมีลักษระ Taper เรียวที่ปลาย ไม่เหมือนกับ H-beam ที่มีความหนาของ Flange เท่ากันตลอด ส่งผลให้โดยทั่วไป I-beam จะสามารถรับแรงกระแทกได้ดี แต่ก็จะมีน้ำหนักที่มากกว่า เอชบีม H-Beam ในขณะที่หน้าตัดเท่ากัน เช่น H 300x150x6.5x9mm. นน. 36.7 กก./ม. I 300x150x8x13mm. นน. 48.3 กก./ม. ซึ่งจะเห็นได้ว่า I-Beam มีน้ำหนักมากกว่าถึง 32%ด้านลักษณะรูปร่าง จุดแตกต่างของเหล็กทั้ง 2 หน้าตัด คือ ปีก Flange ทั้งบนและล่างของเหล็ก H-beam จะเป็นแผ่นเรียบหนาเท่ากันตลอด ส่วนของเหล็กไอบีม I-beam ทั้งปีกบนและล่างจะเป็นแผ่นเอียง หรือ Taper Flange ซึ่งขนาดหน้าตัดเหล็กที่เท่ากัน I-beam จะมีน้ำหนักต่อเมตรสูงกว่า H-beam เนื่องจากเหล็ก I-beam จะมีความหนาของเหล็กมากกว่าเพื่อรองรับแรงกระแทก และการเคลื่อนที่จากรางเครน 

 

 

เหล็กรูปพรรณมีกี่ประเภท

เหล็กรูปพรรณมีกี่ประเภท

เหล็กรูปพรรณมีกี่ประเภท   เลือกใช้อย่างไรให้เหมาะสม

ผู้ออกแบบหลายท่านคงเคยมีข้อสงสัยว่า การเลือก “วัสดุเหล็กรูปพรรณ” ที่จะนำมาใช้ในงานออกแบบนั้น ควรเลือกใช้อย่างไรให้เหมาะสมกับการก่อสร้าง แม้ว่าเราอาจจะคุ้นเคยกับการใช้เหล็ก H-BEAM กันมาบ้างแล้ว แต่การรู้จักวัสดุเหล็กประเภทต่าง ๆ ก็ยังช่วยให้เราสามารถวางแผนการสั่งเหล็กเพื่อการดีไซน์ได้ประหยัดมากขึ้น และเพื่อโครงสร้างอาคารที่ยั่งยืนกว่า

สำหรับเหล็กรูปพรรณโครงสร้างที่ใช้กันทั่วไปในงานอาคารที่พักอาศัย สามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเภทหลัก ๆ ได้แก่ เหล็กโครงสร้างรูปพรรณรีดร้อน (Hot rolled structural steel) และเหล็กโครงสร้างรูปพรรณขึ้นรูปเย็น (Cold formed structural steel) ซึ่งมีความแตกต่างกันตั้งแต่กระบวนการผลิต และการนำไปใช้

กระบวนการผลิต เหล็กรีดร้อน vs เหล็กขึ้นรูปเย็น

เหล็กโครงสร้างรูปพรรณรีดร้อน หรือ “เหล็กรีดร้อน” ที่เรารู้จัก คือเหล็กที่ผ่านกรรมวิธีการผลิตโดยการรีดให้มีหน้าตัดและรูปทรงตามที่ต้องการ ภายใต้อุณภูมิสูงถึงประมาณ 1,200 องศา จึงสามารถรีดเหล็กให้มีหน้าตัดที่ใหญ่ มีความหนาและผลิตได้หลายรูปทรง ได้แก่ เหล็กเอชบีม (H-beam), ไอบีม (I-Beam), เหล็กรางน้ำ (Channel), เหล็กฉาก (Angle) และ คัทบีม (Cut Beam) เหมาะสำหรับการใช้งานหลากหลายรูปแบบ

ส่วนอีกประเภทหนึ่ง คือ เหล็กโครงสร้างรูปพรรณขึ้นรูปเย็น หรือ “เหล็กขึ้นรูปเย็น” เกิดจากการขึ้นรูปเหล็กแผ่นในอุณหภูมิปกติ โดยใช้การพับหรือม้วนงอแผ่นเหล็ก และเชื่อมเหล็กเข้าด้วยกันให้มีรูปทรงตามต้องการ เช่น เหล็กกล่อง, เหล็กท่อกลม, เหล็กตัวซี (Light Lip Channel)

ซึ่งหลายคนอาจจำสับสนกับ “เหล็กรีดเย็น (Cold-Rolled)” ที่เกิดจากการนำแผ่นเหล็กรีดร้อนชนิดม้วน มารีดเย็นต่อเพื่อลดความหนา ซึ่งไม่เหมาะสำหรับงานโครงสร้างแต่เหมาะกับงานที่ต้องการความบางและคุณภาพผิวสูง อาทิเช่น แผ่นหลังคา เฟอร์นิเจอร์ เครื่องใช้ไฟฟ้า เป็นต้น

 

เหล็กรีดร้อน กับการรับแรงที่เหนือกว่า

เนื่องจากเหล็กรีดร้อน ถูกรีดในขณะที่เหล็กมีอุณหภูมิสูง เหล็กที่รีดจึงได้รับความร้อนและเย็นตัวลงเป็นลำดับทำให้ผลึกเหล็กมีความละเอียดมากขึ้น เหล็กประเภทนี้จึงมีกำลังและความเหนียวสูง

 

ผลิตภัณฑ์เหล็กที่ได้จะมีหน้าตัดใหญ่ มีความแข็งแรงและคงทนกว่า จึงเหมาะสำหรับการนำไปใช้กับงานโครงสร้างหลัก อย่าง เสา-คานหลัก เพื่อรับน้ำหนักพื้น รับโครงหลังคาช่วงพาดกว้าง หรือแม้แต่โครงหลังคาดาดฟ้าที่ต้องรับคอนกรีตซึ่งมีน้ำหนักมาก ๆ เป็นต้น

ในขณะที่เหล็กขึ้นรูปเย็น เนื้อเหล็กจะมีความเหนียวน้อยและบางกว่า มีหน้าตัดที่เล็กกว่าเหล็กรีดร้อน จึงควรใช้กับงานโครงสร้างชั่วคราว เช่น นั่งร้าน ศาลาพักคอย หรือโครงสร้างส่วนที่ไม่เน้นการรับน้ำหนัก เช่น งานหลังคา โดยข้อดีของน้ำหนักที่เบาของวัสดุก็สามารถใช้ทดแทนโครงสร้างส่วนที่รับแรงน้อย เพื่อลดน้ำหนักและขนาดของเหล็กลงได้

 

หน้าตัดเหล็ก ช่วยลดภาวะการเกิดสนิม

เหล็กรีดร้อนมีคุณสมบัติที่โดดเด่น ทั้งเรื่องความหนาและรูปทรง โดยจะมีหน้าตัดแบบ Open section ที่สามารถทำสีได้ทุกพื้นที่ผิวรอบด้าน ไม่มีรูกลวงด้านใน ลดภาวะการเกิดสนิมในอนาคต

แตกต่างกับเหล็กขึ้นรูปเย็นที่เกิดจากการพับเหล็กที่มีความบางเป็นหน้าตัดแบบ Close section มีลักษณะเป็นกล่องหรือท่อกลม ซึ่งอากาศและความชื้นสามารถเข้าไปก่อเกิดเป็นสนิมทั้งด้านในและบริเวณโคนเสาได้ง่ายกว่า เหล็กรีดร้อนหรือเหล็กบีมจึงง่ายต่อการบำรุงรักษาและมีอายุการใช้งานที่ยาวนานกว่าเหล็กขึ้นรูปเย็น

 

มาตรฐานผลิตภัณฑ์เหล็กรูปพรรณรีดร้อนจาก SYS

นอกจากเหล็กรูปพรรณรีดร้อนจะมีความแข็งแรงมากกว่า ในกระบวนการผลิตยังต้องผ่านมาตรฐานอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นมาตรฐานบังคับเพื่อควบคุมคุณภาพเหล็กให้ดีที่สุด ซึ่งมีความสำคัญต่อการก่อสร้างเพราะส่งผลอย่างยิ่งต่อความปลอดภัยแก่ชีวิตและทรัพย์สินของผู้อยู่อาศัย

ซึ่งมั่นใจได้เลยในผลิตภัณฑ์เหล็กรูปพรรณรีดร้อนจาก SYS ด้วยคุณภาพ สอดคล้องตามคุณสมบัติ ตลอดจนชั้นคุณภาพต่าง ๆ และมีการผลิตที่ได้มาตรฐานตาม มอก.1227: 2558 อีกทั้งเหล็ก H-BEAM ยังตอบโจทย์อย่างครอบคลุมกับการใช้งานในทุกองค์ประกอบของโครงสร้าง ไม่ว่าจะเป็นงานเสา คาน หรืองานหลังคา ก็สามารถใช้ได้โดยไม่ต้องเปลี่ยน จึงเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยให้การทำงานในโครงการของคุณสะดวกมากยิ่งขึ้น

 

เหล็กรูปพรรณ คืออะไร

เหล็กรูปพรรณ เป็นเหล็กชนิดหนึ่งที่มีการแปรรูปออกมาเป็นเหล็กชนิดอื่น ๆ หรือเป็นวัสดุรูปทรงต่างๆ  เพื่อให้เกิดความสะดวกในการใช้งาน ถ้าหากต้องการอธิบายให้เห็นภาพ เหล็กรูปพรรณก็เหมือนกับทองคำ ทองคำตามธรรมชาติจะมีลักษณะเป็นก้อนที่ไม่มีรูปทรง เมื่อต้องการนำมาทำเป็นทองคำแท่ง หรือทำเป็นเครื่องประดับ เช่น สร้อยคอ กำไล แหวน ก็จะต้องมีการแปรรูปทองให้ออกมาตามลักษณะนั้น ๆ เหล็กรูปพรรณเองก็เช่นกัน โดยลักษณะของการแปรรูปเหล็กรูปพรรณที่สามารถพบเห็นได้บ่อยที่สุด มีดังต่อไปนี้

เหล็กแผ่น เหล็กแผ่น มีทั้งแบบแผ่นดำ และแผ่นขาว แต่ส่วนใหญ่มักจะมีการใช้เหล็กแผ่นดำมากกว่า สำหรับความแตกต่างของเหล็กแผ่นดำและเหล็กแผ่นขาวนั้น อยู่ที่ขนาดของมัน โดยเหล็กแผ่นดำ จะมีขนาดตั้งแต่ 4×8 ฟุต จนถึง 5×20 ฟุต แต่ถ้าหากเป็นเหล็กแผ่นขาว จะมีขนาดเดียวคือขนาด 4×8 ฟุต ซึ่งเป็นขนาดที่เล็กที่สุดของเหล็กแผ่นดำ แต่ในส่วนของความหนานั้น มีให้เลือกหลายขนาดไม่ต่างกันเลย เหล็กแผ่นดำจะมีชื่อเรียกอีกมากมาย เช่น เหล็กแผ่น (เรียกแบบโดยตรง) เหล็ก Plate และในปัจจุบันนี้ก็มีเหล็กแผ่นถูกผลิตขึ้นมาอีก 1 แบบ ซึ่งก็คือเหล็กแผ่นแบบลาย ถ้าใครนึกไม่ออกว่าแผ่นเหล็กลายเป็นอย่างไร ให้นึกถึงสะพานลอยที่มีการปูพื้นด้วยเล็กแล้วมีลวดลายที่พื้นเหมือนรูปกากบาท นั่นคือเหล็กแผ่นลายที่เรากำลังกล่าวถึงอยู่ เหล็กแผ่น มักจะนิยมนำไปใช้กับงานโครงสร้างอาคาร งานโครงสร้างรถยนต์ และงานปูพื้นโรงงานอุตสาหกรรม

เหล็กแบน เป็นเหล็กที่มีลักษณะคล้ายกับเหล็กแผ่น แต่แตกต่างกันที่ความหนาและความยาว เหล็กแบนที่นิยมใช้กันมีขนาดอยู่ที่ ยาว 6 เมตร หนา 3 มิลลิเมตร และมีหน้ากว้าว 25 มิลลิเมตร แต่อาจจะสั่งทำให้มีขนาดหนาหรือหน้ากว้างตามที่ต้องการได้ สำหรับเล็กแบน มีชื่อเรียกอื่น ๆ อีก คือ Flat Bars หรือ F/B เหล็กแบนนิยมนำไปใช้กับงานก่อสร้าง นำไปทำงานเชื่อม เช่น งานฝาตะแกรง งานเหล็กดัด งานแหนบรถยนต์ เป็นต้น

เหล็กโครงสร้างรูปตัวซี (Lip Channel) หรือที่เหล่าวิศวกรมักจะเรียกสั้น ๆ ว่าเหล็กตัวซี สาเหตุที่เรียกว่าตัวซี ก็เพราะว่ามีการขึ้นเหล็กรูปพรรณให้เป็นรูปตัวซี (มองจากด้านข้าง) นิยมนำไปใช้กับงานโครงสร้างอาคารใหญ่ ๆ รวมถึงงานสะพาน และงานอาคารสูง คนทั่วไปที่ไม่ได้อยู่ในแวดวงวิศวกรรมอาจเกิดความสับสนระหว่างเหล็กตัวซี และเหล็กรางน้ำได้ จึงขอนำรูปมาเปรียบเทียบให้เห็นความชัดเจนดังต่อไปนี้

 

ขอบคุณข้อมูลจากhttps:hbeamconnect.com/blog/what-are-the-types-of-profiled-steel/

เหล็กโครงสร้างเหล็กรางน้ำและเหล็กตัวซี ต่างกันอย่างไร

เหล็กโครงสร้างเหล็กรางน้ำและเหล็กตัวซี ต่างกันอย่างไร

เหล็กโครงสร้างเหล็กรางน้ำ  เหล็กตัวซี ต่างกันอย่างไร       

      เหล็กรางน้ำ และ เหล็กตัวซี มีความแตกต่างกันอย่างไร มาทำความรู้จักกับเหล็กรางน้ำ และ เหล็กตัวซีกันก่อนว่าเหล็กทั้งสองชนิดนี้มีความแตกต่างกันอย่างไร แล้วเหล็กทั้งสองชนิดนี้จะถูกนำมาใช้งานได้อย่างเหมาะสมได้อย่างไรกัน

เหล็กรูปพรรณ เป็นเหล็กชนิดหนึ่งที่มีการแปรรูปออกมาเป็นเหล็กชนิดอื่น ๆ หรือเป็นวัสดุรูปทรงต่างๆ  เพื่อให้เกิดความสะดวกในการใช้งาน ถ้าหากต้องการอธิบายให้เห็นภาพ เหล็กรูปพรรณก็เหมือนกับทองคำ

         ทองคำตามธรรมชาติจะมีลักษณะเป็นก้อนที่ไม่มีรูปทรง เมื่อต้องการนำมาทำเป็นทองคำแท่ง หรือทำเป็นเครื่องประดับ เช่น สร้อยคอ กำไล แหวน ก็จะต้องมีการแปรรูปทองให้ออกมาตามลักษณะนั้น ๆ เหล็กรูปพรรณเองก็เช่นกัน โดยลักษณะของการแปรรูปเหล็กรูปพรรณที่สามารถพบเห็นได้บ่อยที่สุด มีดังต่อไปนี้

เหล็กรางน้ำคือ

      เหล็กรางน้ำเป็นเหล็กรูปพรรณรีดร้อน ขั้นตอนการรีดจะต้องใช้อุณหภูมิสูงประมาณ 1,200 องศา เพื่อจะได้รูปทรงตามที่ต้องการ และมีลักษณะเป็นเส้นตรงมีความยาวมากกว่า 6 เมตร มีหน้าตัดที่คล้ายตัวยู (U) มีขาทั้งสองขาที่ยาวเท่า ๆ กันจะมีความคล้ายกับเหล็กตัวซี

        แต่หากเรามองและพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้ว ก็จะเห็นถึงความแตกต่างกันอยู่บ้าง แต่เหล็กรางน้ำมักนิยมนำไปใช้กับงานที่โครงสร้างใหญ่ ๆ และต้องการรองรับน้ำหนักจำนวนมาก จำพวกเช่น สะพานข้ามแม่น้ำ สะพานข้ามแยก งานบันได โครงสร้างบ้านต่าง ๆ หลังคาโรงงาน ป้ายโฆษณาขนาดใหญ่ เสาสื่อสารโทรคมนาคม เสาสายส่งไฟฟ้าแรงสูง งานเหล่านี้เป็นต้น

ประโยชน์ของเหล็กรางน้ำเหล็กรางน้ำจะค่อนข้างสะดวกต่อการติดตั้ง ทั้งยังประหยัดและรวดเร็วในการติดตั้ง แต่ด้วยน้ำหนักที่เบาจึงทำให้น้ำหนักของฐานรากเบาลงไปด้วย

เหล็กรางน้ำ (CHANNEL) 

       อย่างที่ได้กล่าวไปแล้วว่ามีลักษณะคล้ายกับเหล็กตัวซี แต่ถ้าหากพิจารณากันดี ๆ ก็ยังพอจะเห็นความแตกต่างได้อยู่บ้าง การที่เรียกว่าเหล็กรางน้ำ ก็เพราะมีลักษณะคล้ายกับรางน้ำที่ทำขึ้นเพื่อการระบายน้ำออก แต่ไม่ได้แปลว่าจะนำไปใช้กับงานที่เกี่ยวข้องกับน้ำเลย เหล็กรางน้ำนิยมนำไปใช้กับงานโครงสร้างใหญ่ ๆ ที่ต้องมีการรับน้ำหนักมาก เช่น งานเสาตอม่อ งานสะพานข้ามแม่น้ำ หรือสะพานข้ามแยก รวมถึงงานหลังคา

 

เหล็กตัวซีคือ

เหล็กตัวซี เปรียบเสมือนตัวแทนไม้เนื้อแข็ง ถือเป็นหนึ่งในเหล็กรูปพรรณ ที่ถูกนำมาแปรรูปด้วยขั้นตอนของการรีดร้อนให้ได้สัดส่วน เป็นเหล็กโครงสร้างรูปพรรณขึ้นรูปเย็น เหล็กตัวซีจะให้ความรู้สึกที่คล้ายเหล็กรางน้ำ โดยมีลักษณะความยาวตามมาตรฐานอยู่ที่ประมาณ 6 เมตร

เหล็กโครงสร้างรูปตัวซี (Lip Channel) 

         หรือที่เหล่าวิศวกรมักจะเรียกสั้น ๆ ว่าเหล็กตัวซี สาเหตุที่เรียกว่าตัวซี ก็เพราะว่ามีการขึ้นเหล็กรูปพรรณให้เป็นรูปตัวซี (มองจากด้านข้าง) นิยมนำไปใช้กับงานโครงสร้างอาคารใหญ่ ๆ รวมถึงงานสะพาน และงานอาคารสูง คนทั่วไปที่ไม่ได้อยู่ในแวดวงวิศวกรรมอาจเกิดความสับสนระหว่างเหล็กตัวซี และเหล็กรางน้ำได้

          หน้าที่สำคัญของเหล็กตัวซี คือ จะใช้ทำงานสำหรับโครงหลังคา รวมถึงเป็นที่ยึดเสาไม้ค้ำยันที่ไม่จำเป็นต้องรับน้ำหนักมากจนเกินไป เพราะด้วยส่วนใหญ่แล้วเหล็กตัวซีจะถูกนำมาใช้สำหรับการทำโครงร่างของหลังคา โครงสร้างของโรงงานอุตสาหกรรม โครงสร้างสะพาน โครงสร้างอาคารสูง โดยส่วนประกอบของเหล็กรูปพรรณทางเคมีจะมี คาร์บอน ซิลิคอน แมงกานีส ฟอสฟอรัส และกำมะถัน เป็นต้น

 

ตารางเหล็กเอชบีม, ขนาดเหล็กเอชบีม, ตารางน้ำหนักเหล็กเอชบีม, ขนาดเสาเอชบีม, น้ำหนักเหล็ก H Beam

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า