อสังหาฯจีนยังทำร้ายอุตฯเหล็ก ราคาแร่ต่ำสุดในรอบ 10 เดือน เหล็กเส้นต่ำสุดรอบ 4 ปี
วิกฤตอสังหาริมทรัพย์ของจีนที่ยืดเยื้อมานานหลายปียังคงกดดันดีมานด์และราคาเหล็กอย่างต่อเนื่อง สินแร่เหล็กราคาร่วงลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 10 เดือน ขณะที่สัญญาซื้อขายล่วงหน้าเหล็กเส้นราคาต่ำสุดในรอบ 4 ปี
ราคาแร่เหล็กลดลงมากถึง 3.9% เหลือ 96.25 ดอลลาร์ต่อตัน ในการซื้อขายช่วงเช้าวันที่ 1 เมษายนที่ตลาดสิงคโปร์ หลังจากที่ราคาเหล็กดิ่งลงต่อเนื่องตั้งแต่ต้นเดือนมกราคม เนื่องจากนักลงทุนปรับตัวตามแนวโน้มดีมานด์จากภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ลดลง
เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว สมาคมเหล็กและเหล็กกล้าแห่งประเทศจีน (CISA) เตือนว่า การชะลอตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์และโครงสร้างพื้นฐานที่ค่อนข้างอ่อนแอส่งผลให้อุปสงค์เหล็กฟื้นตัวล่าช้า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ของอุตสาหกรรมเหล็กในเดือนมีนาคมร่วงลงสู่ 44.2 ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนพฤษภาคมปี 2023
สัญญาซื้อขายแร่เหล็กล่วงหน้าเดือนกันยายน 2024 ในตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ต้าเหลียนก็ร่วงลงเช่นกัน โดยร่วงลงมากขึ้นอีกจากที่ร่วงลงแล้ว 8.5% ในการซื้อขายสัปดาห์ก่อนหน้านี้ ส่วนสัญญาซื้อขายล่วงหน้าเหล็กเส้น ซึ่งเป็นชนิดเหล็กพื้นฐานที่ใช้ในการก่อสร้าง ลดลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบเกือบ 4 ปี
แหล่งข้อมูล : ข่าวอุตสาหกรรมเหล็ก
ราคาแร่เหล็กร่วงแตะต่ำสุดใน 3 เดือน คาดอุปสงค์จากจีนยังไม่ฟื้นตัว
ราคาแร่เหล็กร่วงแตะต่ำสุดใน 3 เดือน คาดอุปสงค์จากจีนยังไม่ฟื้นตัว
ราคาแร่เหล็กร่วงลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 3 เดือน แม้จีนประกาศมาตรการสนับสนุนเพิ่มเติมสำหรับตลาดที่อยู่อาศัย เนื่องจากนักลงทุนกังวลว่าอุปสงค์เหล็กจะยังไม่ฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งหลังตรุษจีน
สัญญาแร่เหล็กดิ่งลงกว่า 3% ในตลาดสิงคโปร์ แตะระดับต่ำสุดระหว่างวันนับตั้งแต่วันที่ 8 พ.ย. 2566 แม้ว่าธนาคารหลายแห่งในประเทศจีนได้ประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้จำนองมากเป็นประวัติการณ์เพื่อกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์ก็ตาม
สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า แร่เหล็กเป็นหนึ่งในสินค้าโภคภัณฑ์หลักที่ย่ำแย่ที่สุดนับตั้งแต่ต้นปีจนถึงตอนนี้ เนื่องจากอุปสงค์จากจีนมีแนวโน้มซบเซา โดยวิกฤตอสังหาริมทรัพย์เป็นปัจจัยสำคัญที่ฉุดรั้งเศรษฐกิจจีนในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา แม้ว่าจะมีการออกมาตรการกระตุ้นต่าง ๆ เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าวก็ตาม
นายวิเวก ดาร์ นักวิเคราะห์จากคอมมอนเวลธ์ แบงก์ ออฟ ออสเตรเลีย กล่าวว่า “แรงต้านจากภาคอสังหาริมทรัพย์ของจีน ซึ่งคิดเป็น 30%-35% ของอุปสงค์เหล็กในจีน และคิดเป็น 20%-25% ของ GDP จีน เมื่อรวมภาคส่วนที่เกี่ยวข้องด้วยนั้น มีแนวโน้มว่าจะยังคงอยู่ต่อไป แต่บรรเทาลงจากปีที่แล้ว”
แหล่งข้อมูล : สำนักข่าวอินโฟเควสท์
เอกชนห่วงจีดีพีปี 67 โตไม่ถึง 3% “หุ้นกู้ผิดนัดชำระ”ความเสี่ยงใหม่
เอกชนห่วงกำลังซื้อผู้บริโภคยังเร่งกลับมายาก หลังหนี้ครัวเรือนสูง ชี้หากรัฐบาลยังใช้เครื่องมือเดิม ๆ ในการบริหารประเทศ เข็นจีดีพีปีนี้โตได้ไม่ถึง 3% จับตาการผิดนัดชำระหุ้นกู้ของภาคเอกชนที่จะครบดีลไถ่ถอน ถ้าแก้ไม่ดีอาจกระทบทั้งระบบ
เศรษฐกิจไทยในรอบ 10 ปีที่ผ่านมามีอัตราการขยายตัวโดยเฉลี่ยตํ่ากว่า 5% ต่อปี โดยปี 2566 ล่าสุด สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) คาดจะขยายตัวได้เพียง 1.8% ขณะที่ช่วง 4 ปีของรัฐบาลชุดปัจจุบันได้ตั้งเป้าหมายการขยายตัวไม่ตํ่ากว่า 5% ต่อปี ท่ามกลางปัจจัยลบที่มีอยู่มากทั้งปัจจัยภายในและนอกประเทศ
นายพงศ์เทพ เทพบางจาก รองประธานกลุ่มอุตสาหกรรมเหล็ก สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า คงเป็นไปได้ยากที่ปีนี้กำลังซื้อของคนไทยจะกลับสู่ภาวะใกล้ปกติ เนื่องจากกำลังซื้อที่เหือดแห้งต่อเนื่องสะสมมาหลายปีตั้งแต่ก่อนโควิด ส่งผลกระทบถึงหนี้ครัวเรือนที่สูงขึ้นเป็นมากกว่าร้อยละ 90 ต่อจีดีพี ซึ่งเป็นอะไรที่แก้ไม่ง่าย แม้รัฐบาลจะอัดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ ลงไป ก็ยังคงต้องใช้เวลาอีกสักระยะ ในทางกลับกันโปรแรงบางอย่างของรัฐบาลก็อาจส่งผลเชิงลบ เช่น ค่าจ้างแรงงานที่ปรับเพิ่มขึ้นเมื่อต้นปี และเตรียมปรับเพิ่มอีกช่วงกลางปีนี้ มีผลต่อต้นทุนสินค้าที่เพิ่มขึ้น
นอกจากนี้เศรษฐกิจโลกในปี 2567 แม้หลายปัญหาจะคลี่คลายลงบ้างแล้ว เช่นราคาพลังงานสูงจากผลพวงสงครามรัสเซีย-ยูเครน ที่ทำให้ราคาสินค้า และเงินเฟ้อสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ในหลายประเทศ เวลานี้แม้สถานการณ์เงินเฟ้อทั่วโลกปรับตัวดีขึ้น แต่จากหลายประเทศใช้งบในการแก้ปัญหาโควิดมาก ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ส่งผลต่อสถานะการคลัง จึงคาดเศรษฐกิจโลกปีนี้จะขยายตัวในทิศทางที่ดีขึ้นแบบค่อยเป็นค่อยไป เช่นโตได้ประมาณ 3%
“หลายปีที่ผ่านมากลไกการเติบโตของเศรษฐกิจไทยขึ้นอยู่กับภาคส่งออก และท่องเที่ยว ซึ่งปีที่ผ่านมาก็ทำได้ตํ่ากว่าเป้าหมาย ดังนั้นถ้าให้ประเมินเศรษฐกิจไทยภายใต้การบริหารงานของรัฐด้วยการใช้เครื่องมือเดิม ๆ แบบที่ผ่านมาคงทำให้เศรษฐกิจโตได้ไม่ถึง 3% แต่รัฐบาลได้เตรียมมาตรการไว้หลายเรื่อง เช่น ด้านท่องเที่ยวมีเรื่องฟรีวีซ่า การขยายเวลาปิดสถานบริการ ด้านส่งออกมีการเปิดเจรจาคู่ค้ามากขึ้น รวมถึงการอัดฉีดเม็ดเงินผ่านดิจิทัลวอลเล็ตที่ยังต้องรอว่าจะสามารถทำได้หรือไม่ หรือการโฟกัสไปที่ดุลการค้ากับบางประเทศที่เราติดลบให้พลิกเป็นบวก ก็น่าจะทำให้เศรษฐกิจไทยปีนี้ เติบโตได้ไม่ตํ่ากว่า 3%”
ส่วนประเด็นความเสี่ยงในการทำธุรกิจภายในประเทศที่น่ากังวลในปีนี้ คือการชำระคืนหุ้นกู้ของภาคเอกชนที่จะครบกำหนดไถ่ถอน หากแก้ไขได้ไม่ดีอาจกระทบทั้งระบบ ส่วนความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจและการค้าโลกคงเน้นไปที่ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ รวมถึงการเลือกตั้งผู้นำในหลายประเทศที่จะมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงนโยบายระหว่างประเทศ
แหล่งข้อมูล : ฐานเศรษฐกิจ
กำลังโหลด อุตสาหกรรมเหล็ก ชี้ทางแก้ จีนลุยหนักยึดตลาด ทำราคาตํ่ากว่า‘ซี่โครงไก่’ อุตสาหกรรมเหล็ก ชี้ทางแก้ จีนลุยหนักยึดตลาด ทำราคาตํ่ากว่า‘ซี่โครงไก่’
ขณะที่จีนเปิดปฏิบัติการยึดไทยเป็นฐานการผลิต ชิงความได้เปรียบด้านราคาขาย และยังสร้างโกดังเพื่อใช้กระจายสินค้าเหล็กจากจีน ตีตลาดไทยกระจุย จึงไม่แปลกที่นายทุนอุตสาหกรรมเหล็กในยุคบุกเบิกของไทยค่อยๆ ทยอยหายไปทีละค่าย
ล่าสุด นายพงศ์เทพ เทพบางจาก รองประธานกลุ่มอุตสาหกรรมเหล็ก สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) และนายกสมาคมผู้ผลิตเหล็กแผ่นเคลือบสังกะสี ให้สัมภาษณ์พิเศษ “ฐานเศรษฐกิจ” แบบหมดเปลือก กับปัญหาอุตสาหกรรมเหล็กที่ไม่มีท่าทีจะแผ่วลง พร้อมเสนอมุมมองและข้อเสนอแนะอย่างตรงประเด็น
- งงเหล็กไทยมีตรรกะที่แปลก
นายพงศ์เทพ กล่าวว่า อุตสาหกรรมเหล็กไทยเวลานี้มีตรรกะและบริบทที่แปลก โดยทางฝั่งซัพพลาย ไทยมีกำลังการผลิต 14 ล้านตันต่อปี แต่มีการนำเข้าเหล็กประมาณ 10 ล้านตันต่อปี หรือคิดเป็น 60-70% ของการบริโภค โดยผู้ผลิตเหล็กของไทยยังใช้กำลังการผลิตที่ระดับ 30-40% เท่านั้น ขณะที่ทางฝั่งดีมานด์ ช่วง 10 ปีมานี้ไทยมีการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานเยอะมาก แต่ความต้องการใช้เหล็กยังเฉลี่ย 16-18 ล้านตันต่อปีเท่านั้น
ในมุมการช่วยเหลือจากภาครัฐ เช่น มาตรการทางภาษี พบว่ามีการประกาศใช้มาตรการไล่ตั้งแต่ มาตรการปกป้องการนำเข้าสินค้าที่เพิ่มขึ้น (Safeguard) และมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาด(AD) สินค้าเหล็กนำเข้า ซึ่งมีหลากหลายรายการมาก แต่การนำเข้ากลับยิ่งเพิ่มมากขึ้น จนอุตสาหกรรมเหล็กถูกครหาว่า “เลี้ยงไม่โต ต้องอุ้มตลอด” หรือการใช้มาตรการที่ไม่ใช่ภาษี เช่น การกำหนดมาตรฐานสินค้า พบว่าสินค้าเหล็กมีมาตรฐานประเภทบังคับในสัดส่วนที่สูงมากเมื่อเทียบกับสินค้าอื่น แต่กลับพบว่าไทยมีการใช้สินค้าเหล็กโดยเฉพาะที่นำเข้ามามีคุณภาพที่ด้อยลงกว่าเดิมมาก
ในมุมโครงสร้างอุตสาหกรรมโดยรวม ไทยไม่มีเหล็กต้นนํ้า มีค่าพลังงานที่สูง ทำให้ต้นทุนการผลิตสูง แต่ไทยกลับถูกหลายประเทศทั้งฝั่งอเมริกา ยุโรป และเอเชียด้วยกัน ฟ้องว่าไทยส่งสินค้าเหล็กออกไปขายในลักษณะดัมพ์ราคา และทุ่มตลาดในประเทศเขาโดยขายตํ่ากว่าเมื่อเทียบกับราคาที่ขายในประเทศ แต่พอมาสำรวจดูราคาขายในประเทศผ่านงบการเงินของผู้ผลิตไทย พบส่วนใหญ่ขาดทุน ซึ่งราคาขายเหล็กในประเทศ ณ เวลานี้เทียบเป็นบาทต่อกิโลกรัมยังตํ่ากว่าซี่โครงไก่เสียอีก (ราคาเหล็กที่ผู้ผลิตในประเทศขายได้ในปี 2566 เฉลี่ยลดลงจากปี ก่อน 10-20%)
ขณะที่ในมุมมองที่ออกสู่สาธารณะมักจะพบการออกมาคัดค้าน หรือแสดงความกังวลว่าภาครัฐใช้มาตรการอุ้มผู้ผลิตมากไป จะไม่แข่งขัน จะฮั้วกันและทำให้ผู้บริโภคซื้อเหล็กแพง ทั้งที่เหล็กเป็นสินค้าควบคุมราคาหน้าโรงงานมาหลายสิบปีแล้ว
“สรุปได้ว่าอุตสาหกรรมเหล็กยังคงเหนื่อยต่อไปแน่นอน ถ้ายังมีบริบทแบบนี้ และจะมีความเสี่ยงที่หนักขึ้นกว่าเดิม ด้วยสาเหตุรูปแบบการค้าปรับเปลี่ยนไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเข้ามาของธุรกิจเหล็กจีนทั้งในรูปของการเข้ามาตั้งโรงงานผลิต ตั้งเป็นโกดังสินค้านำเข้าที่พร้อมส่งมอบ รวมถึงมีพนักงานขายตรงไปที่ร้านค้าย่อยหรือผู้ใช้โดยไม่ผ่านตัวกลางเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ”
- ยิ่งตอบโต้ยิ่งหลบเลี่ยงนำเข้าง่าย
สำหรับทางออกของอุตสาห กรรมเหล็ก เป็นเรื่องที่ทุกภาคส่วนจะต้องร่วมมือกัน ซึ่งคงไม่วิน วิน ในช่วงแรกแต่ระยะยาวจะดีขึ้น ตัวอย่างเช่น กรณีภาครัฐที่เข้ามามีส่วนร่วมในเรื่องนี้ ไล่จากกรมการค้าต่างประเทศ ต้องไปพิจารณาทบทวนการใช้มาตรการ AD และมาตรการตอบโต้การหลบเลี่ยงการทุ่มตลาด (AC) ของไทยกับของประเทศอื่นว่าทำไมแตกต่างกัน ทั้งที่อยู่ภายใต้กฎกติกาขององค์การการค้าโลก(WTO) เหมือนกัน มีการใช้พิกัดศุลกากรในการตรวจสอบแบบละเอียดถึง 11 หลักในช่วงที่ผ่านมา แต่ผลลัพธ์กลับมีการหลบเลี่ยงการนำเข้าง่ายขึ้นกว่าเดิม จะมีการปรับไปใช้พิกัดแบบ 6 หรือ 8 หลัก อย่างที่ฝั่งยุโรปและอเมริกาใช้แล้วได้ผลดีกว่าหรือไม่
หรือแม้แต่การประกาศใช้มาตรการ AD กับสินค้าที่ใช้ทดแทนกันได้ที่เป็นต้นทาง เช่น เหล็กแผ่นรีดร้อน/รีดเย็น กับสินค้าปลายทางเช่น ท่อเหล็กแปรรูปต่าง ๆ ในขณะที่สินค้ากลางทาง เช่นเหล็กเคลือบกลับไม่มีมาตรการหรือมีแต่ไม่ครอบคลุมมวลสารที่เคลือบทั้งหมด ก็จะทำให้กลุ่มเหล็กที่อยู่กลางนํ้าอยู่ไม่ได้ ทำให้มีการใช้มาตรการจริงแต่บิดเบี้ยว คนปลายทางก็อยากได้วัตถุดิบถูกที่เป็นสินค้ากลางทางอย่างเหล็กเคลือบจากการนำเข้า เพราะเคยชินกับการใช้สินค้าราคาถูกเมื่อเทียบกับการซื้อเหล็กเคลือบในประเทศที่ผู้ผลิตต้องซื้อวัตถุดิบในประเทศจากกลุ่มเหล็กต้นทางในราคาสูง
ทั้งนี้พอกลุ่มกลางทางที่เป็นเหล็กเคลือบไปยื่นให้ใช้มาตรการ AD ทีไรก็มักจะมีกลุ่มปลายทางไปคัดค้านตลอด ซึ่งถ้าปล่อยไปแบบนี้สินค้าต้นทางที่มีมาตรการ AD อย่างเหล็กรีดร้อนก็จะได้ประโยชน์ลดน้อยลงไปเรื่อยๆ เห็นได้จากสัดส่วนการผลิตท่อเหล็กจากเดิมใช้เหล็กรีดร้อนเป็นวัตถุดิบ 60-70% วันนี้เหลือเพียง 30-40% ขณะที่มีการนำเข้าเหล็กเคลือบสังกะสีที่เลี่ยงพิกัดมาในรูปสังกะสีผสมอลูมิเนียมและแมกนีเซียมที่เรียกกันในตลาดว่าเหล็ก ZAM มาใช้ทดแทนต่อเนื่อง จากเฉลี่ยเดือนละ1,000 กว่าตันเมื่อ 3 ปีที่แล้ว เป็นเดือนละ 9 หมื่นตันในปีที่ผ่านมา (เฉพาะจากประเทศจีนอย่างเดียว)
เรื่องนี้ถ้าแก้ทั้งระบบก็ต้องมีคนยอมเจ็บในตอนแรก ผู้ผลิตในทุกส่วนตั้งแต่ต้นทาง กลางทาง ปลายทาง ก็ต้องช่วยกันแบบจริงจังโดยเฉพาะเรื่องราคา โมเดลหนึ่งที่อุตสาหกรรมเหล็กของญี่ปุ่นและเกาหลีเติบโตมาได้ หนึ่งในปัจจัยคือความเป็นชาตินิยมต้องมาก่อน ส่วนภาครัฐที่กำกับดูแลเรื่องมาตรฐานก็ควรปรับให้มีมาตรฐานเดียว
คือมาตรฐานบังคับและต้องลดขั้นตอนการบังคับใช้ให้รวดเร็วเพราะยิ่งช้ายิ่งทำให้ของไม่ดีอยู่ในตลาดผลเสียจะตกไปยังผู้บริโภค ข้อเสนอแนวทางแก้ปัญหาที่กล่าวมา หากทุกภาคส่วนช่วยกันยังมีทางออกแน่นอน
- ไทยเปลี่ยนสถานะเป็นผู้นำเข้าเหล็ก
นายพงศ์เทพ กล่าวอีกว่า ถ้านับจากกำลังการผลิตเหล็กทุกชนิดรวมกัน เฉพาะภูมิภาคอาเซี่ยน ที่ปัจจุบันมีกำลังผลิตประมาณ 75 ล้านตันไทยเสียตำแหน่งการเป็นผู้นำในการผลิตเหล็กมาหลายปีแล้ว เพราะปัจจุบันไทยเป็นผู้ผลิตอันดับ 4 ประมาณ 14 ล้านตัน อันดับ 1 คือ เวียดนาม 23 ล้านตัน อันดับ 2 อินโดนีเซีย 19 ล้านตัน อันดับ 3 มาเลเซีย 16 ล้านตัน และในอีก 3 ปีข้างหน้า กำลังการผลิตเหล็กในภูมิภาคอาเซียนจะเพิ่มไปอีกเท่าตัวคือขึ้นไปถึง 150 ล้านตัน
จากการที่จีนเข้ามาลงทุนตั้งโรงงานในภูมิภาคนี้เพิ่มขึ้นไปอีก ไทยก็จะหล่นไปอยู่อันดับ 5 โดยมีมาเลเซียขึ้นมาเป็นอันดับ 1ที่ 47 ล้านตัน อันดับ 2 อินโดนีเซีย 42 ล้านตัน อันดับ 3 เวียดนาม 29 ล้านตัน อันดับ 4 ฟิลิปปินส์ 18 ล้านตัน ซ้ำร้ายไปกว่านั้นจากความสามารถในการผลิตที่ไทยมีอยู่ 14 ล้านตันนั้น ปรากฏว่ามีการใช้กำลังผลิตจริงลดน้อยถอยลงมาเรื่อยๆ จนปัจจุบันใช้กำลังผลิตเฉลี่ยเพียง 30 % ที่เหลือเป็นการนำเข้า ไทยจึงเปลี่ยนสถานะจากที่เคยเป็นผู้นำในการผลิตในภูมิภาคนี้ไปเป็นผู้นำในด้านการนำเข้าไปเรียบร้อยแล้ว
- ฝากการบ้านถึงหน่วยงานเกี่ยวข้อง
นายพงศ์เทพ กล่าวว่าต้องฝากการบ้านนี้ไปยังหลายหน่วยงานทั้งนายกรัฐมนตรีในฐานะกำกับดูแลกระทรวงการคลัง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ที่กำกับดูแลการค้าระหว่างประเทศ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมที่กำกับดูแลเกี่ยวมาตรฐานสินค้าอุตสาหกรรม เพราะหากไทยผลิตเองได้ลดลงเรื่อยๆ การจ้างงานก็จะลดลง ความมั่นคงด้านสินค้าเหล็กที่เป็นต้นทางไปสู่อีกหลายอุตสาหกรรมทั้งภาคก่อสร้าง อุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้า อาหาร รถยนต์ เครื่องจักรกลต่าง ๆ จะมีความเสี่ยงทันที
ขณะที่หากมองในมิติดุลการค้า มูลค่าเหล็กที่ไทยบริโภคในปัจจุบันประมาณ 5 แสนล้านบาทต่อปี หากดูเฉพาะดุลการค้ากับจีนประเทศเดียวในสินค้าเหล็กที่ไทยนำเข้าเกินกว่า 4 ล้านตันต่อปีในปัจจุบัน ขณะที่ไทยแทบไม่ได้ส่งออกเหล็กกลับไปที่จีนเลย เท่ากับว่าไทยขาดดุลการค้าในสินค้าเหล็กกับจีนถึงปีละประมาณ 2 แสนล้านบาทมีผลต่อ GDP มาก
โดยศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์เคยวิเคราะห์ไว้ว่าการผลิตเหล็กภายในประเทศที่หายไปทุก ๆ 1 แสนตันจะส่งผลอัตราการขยายตัวของ GDP ลดลงราว 0.19% และอัตราการขยายตัวของการจ้างงานในอุตสาหกรรมเหล็กจะลดลงราว 1.2 % ผลประโยชน์สาธารณะเวลาจะออกนโยบายอะไรเกี่ยวกับอุตสาหกรรมเหล็กในมิติทางเศรษฐกิจจึงสำคัญมาก
อย่างไรก็ตามมองว่าการแข่งขันทางการค้าปัจจุบัน โดยเฉพาะอุตสาหกรรมพื้นฐานที่สำคัญอย่างเหล็ก นโยบายและเครื่องมือของภาครัฐสำคัญอย่างมาก ทุกประเทศที่มีอุตสาหกรรมเหล็กก็ทำกัน เปรียบเสมือนใช้เกียร์ที่ถูกต้องช่วยขับเคลื่อนให้เร็วขึ้น และร่วมกันจับพวงมาลัยให้ตรงไปในทิศทางข้างหน้าสู่เป้าหมายเพื่อการพัฒนาประเทศ
“อุตสาหกรรมเหล็กไม่ได้โต้แย้งในเรื่องการค้าเสรี แต่เราไม่เห็นด้วยกับการค้าที่ไม่เป็นธรรม เพราะการค้าที่ไม่เป็นธรรมมีแต่จะฉุดรั้งไม่เกิดการพัฒนา น่าเสียดุลการค้าด้านเหล็กหลายแสนล้านต่อปี อุตสาหกรรมเหล็กแทบไม่ได้พัฒนาไปไหนเพราะต้องกังวลว่าจะอยู่หรือไป และซ้ำร้ายไปกว่านั้นผู้บริโภคกลับเจอแต่สินค้าที่มีคุณภาพลดลงเรื่อย ๆ” นายพงศ์เทพ กล่าว
แหล่งที่มา : ฐานเศรษฐกิจ
ดีมานด์เหล็กกล้าในอินเดียพุ่ง คาดโต 10% อานิสงส์เศรษฐกิจแกร่ง
ดีมานด์เหล็กกล้าในอินเดียพุ่ง คาดโต 10% อานิสงส์เศรษฐกิจแกร่ง
อุปสงค์เหล็กกล้าในอินเดียมีแนวโน้มว่าจะเติบโต 8% ถึง 10% ในระยะกลาง โดยได้รับแรงหนุนจากการเติบโตทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของประเทศ ซึ่งเป็นผู้บริโภคเหล็กกล้ารายใหญ่อันดับ 2 ของโลก
เจเอสดับเบิลยู สตีล (JSW Steel) บริษัทผู้ผลิตเหล็กรายใหญ่ที่สุดของอินเดียคาดการณ์ว่า อุปสงค์ทั่วประเทศจะขยายตัวมากถึง 15% ในปีงบประมาณนี้ซึ่งสิ้นสุดในเดือนมี.ค. 2567 แตะที่ระดับ 135 ล้านตัน และคาดว่าจะเติบโตอย่างต่อเนื่องจนถึงสิ้นสุดทศวรรษนี้
“เราคาดการณ์ว่าภายในสิ้นสุดทศวรรษนี้ อินเดียจะบริโภคเหล็กกล้าประมาณ 200 ล้านตัน จนถึง 210 ล้านตัน” นายชยันต์ อชารยา กรรมการผู้จัดการร่วมของเจเอสดับเบิลยู สตีล กล่าวระหว่างให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวบลูมเบิร์กในวันอังคาร (30 ม.ค.) พร้อมเสริมว่า การขยายกำลังการผลิตจะเป็นปัจจัยหลักในการตอบสนองต่ออุปสงค์ในประเทศ
รายงานระบุว่า ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา อินเดียได้เพิ่มการผลิตเหล็กกล้าเพื่อให้ทันกับความต้องการในการขยายโครงสร้างพื้นฐานที่มีการเติบโตอย่างรวดเร็ว
ข้อมูลจากไอซีอาร์เอ ซึ่งเป็นบริษัทจัดอันดับเครดิตของอินเดีย ระบุว่า คาดว่าโรงงานต่าง ๆ ในอินเดียจะเพิ่มกำลังการผลิตสู่ระดับ 38.5 ล้านตัน ภายในเดือนมี.ค. 2570 นอกจากนี้แล้ว อุปสงค์ที่แข็งแกร่งยังได้ดึงดูดการนำเข้าจากประเทศต่าง ๆ เช่น จีน ซึ่งกลายเป็นซัพพลายเออร์เหล็กกล้ารายใหญ่ที่สุดของอินเดียในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา
แหล่งข้อมูล : สำนักข่าวอินโฟเควสท์