โดย saweang | มิ.ย. 1, 2020 | บทความบ้านๆๆ, บทความเกี่ยวกับเหล็ก
สำหรับขั้นตอนการทำโครงหลังคาบ้าน จะต้องทำการติดตั้งเพลทหัวเสาเพื่อเป็นตัวเชื่อมยึดเข้ากับอเสเหล็ก ซึ่งเหล็กเพลทที่นำมาใช้ในการเชื่อมปิดหัวเสานี้ ควรจะมีขนาดของแผ่นเหล็กเพลทเล็กกว่าพื้นที่หน้าตัดเสา เนื่องจากการอุดหัวเสาใต้เพลทนั้นจะต้องเทกรอกปูนลงไปภายในช่องว่างที่เหลืออยู่ ถ้าหากแผ่นเหล็กเพลทมีขนาดเท่ากับพื้นที่หน้าตัดเสา จะส่งผลให้การกรอกปูนเพื่ออุดใต้เพลททำได้ยาก รวมทั้งอาจทำให้คอนกรีตหัวเสาที่อยู่บริเวณใต้แผ่นเหล็กเพลทเกิดเป็นโพรงได้
วิธีการติดตั้งเพลทหัวเสาสามารถทำได้ไม่ยาก เพียงแค่นำเหล็กเส้นมาดัดให้มีลักษณะเป็นรูปตัวเชื่อมเหล็กตัวยูทั้ง 2 ตัว ซึ่งเหล็กเส้นที่ใช้จะต้องมีขนาดเท่ากับรูของเหล็กเพลท เมื่อดัดเสร็จแล้วจึงจะนำเหล็กเส้นติดไว้บริเวณใต้แผ่นเพลทไว้ก่อนเพื่อรอเข้าสู่ขั้นตอนการเชื่อม โดยในขั้นตอนการเชื่อมนั้น จะต้องทำการเชื่อมให้เต็มขนาดความกว้างของรูปตัวยูเพื่อให้เหล็กเพลทยึดติดได้แน่นและจะไม่สามารถหลุดได้ในภายหลัง
เมื่อเข้าสู่ขั้นตอนการเชื่อม จะต้องทำการกำหนดระดับความสูงของเพลทรวมทั้งทำการจัดตำแหน่งเพลท โดยให้บริเวณจุดศูนย์กลางเพลทอยู่ตรงกับกับจุดศูนย์กลางของเสาหรือ Grid line เมื่อกำหนดความสูงและจัดตำแหน่งได้เรียบร้อยแล้วจึงทำการเชื่อมยึด โดยการประคองเพลทไว้กับเหล็กแกนเสา ซึ่งการป้องกันเพลทเอียงระหว่างการเชื่อมนั้น สามารถใช้ระดับน้ำเข้ามาช่วยในการเช็คระดับหลังเพลทให้ตรงได้
เหล็กเพลทหัวเสาจำเป็นต้องมีไหม?
เหล็กเพลทหัวเสาในงานก่อสร้างนั้นจะมีหรือไม่มีก็ได้ แต่ถ้าหากมีก็จะสามารถดำเนินงานได้สะดวกมากกว่า เพราะนอกจากเหล็กเพลทจะเป็นตัวช่วยสำหรับการทำระดับโครงหลังคาและช่วยกระจายแรงได้แล้ว ยังเป็นตัวช่วยที่ทำให้ช่างสามารถทำการเชื่อมเหล็กเส้นติดกับเหล็กกล่องได้ง่าย เรียบร้อยและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นอีกด้วย
บ้านในสมัยก่อนนั้น มักถูกออกแบบให้โครงสร้างเหล็กสามารถรับกับกระเบื้อง รวมทั้งทำการติดตั้งคานคอนกรีตรัดหัวเสาทุกต้นไว้เพื่อป้องกันการแยกออกจากกัน แต่ต่อมางานก่อสร้างบ้านได้ถูกพัฒนาขึ้น โดยการนำเหล็ก double c เข้ามาทำหน้าที่เป็นคานแทนคานคอนกรีตรูปแบบเก่า ซึ่งวิธีการดังกล่าวเป็นวิธีที่อาจมองดูแล้วไม่มีปัญหา แต่ในความเป็นจริงนั้นการใช้เหล็ก double c มาแทนคานคอนกรีต สามารถส่งผลให้ผนังที่ถูกก่อขึ้นจากอิฐเกิดการแตกที่บริเวณมุมต่อเสากับผนังได้ เนื่องจากการต่อเชื่อมกันระหว่างเหล็กกับเสาคอนกรีตไม่สามารถถูกเชื่อมให้เป็น rigid เมื่อจั่วรับน้ำหนักมากขึ้นจึงเกิดแรงกระทำทางด้านข้างจนส่งผลให้ปลายเสาแยกออกจากกัน
ในกรณีดังกล่าวสามารถแก้ไขได้ โดยหากเป็นคานเหล็กควรทำการเสียบเหล็กฉากไว้ในเสา 2-3 ท่อน ให้มีความลึกระดับหนึ่งขณะที่ทำการเทใหม่ แล้ววาง plate ลงสำหรับเชื่อมเข้ากับเหล็กฉาก สุดท้ายจึงจะวางคานหรือเหล็กจันทัน

หลังจากเสร็จสิ้นการติดตั้งเพลท
หลังจากที่เพลทถูกติดตั้งเรียบร้อยแล้ว จะต้องทำการเข้าแบบและอุดเสาโครงสร้างบ้านด้วยวิธีการเทปูนลงให้เต็มบริเวณใต้เพลท ซึ่งวิธีการดังกล่าวนี้จะสามารถทำได้โดยการเทกรอกปูนลงให้เต็มบริเวณขอบแผ่นเพลทจากด้านบนที่มีช่องว่างด้วยปูนเกราท์ หรือ Non-Shrink Grout จากนั้นปล่อยทิ้งไว้ให้ปูนแข็งตัวแล้วจึงจะสามารถแกะไม้แบบออกได้ โดยเมื่อไม้แบบถูกแกะออกมาแล้ว ปูนที่หล่อไว้จะต้องถูกอุดเต็มเพลทและไม่มีโพรงเกิดขึ้น
เหตุผลที่ปูน Non-Shrink ถูกเลือกมาใช้ เนื่องจากเป็นปูนชนิดผงสำเร็จรูปที่สามารถนำมาใช้งานได้ง่าย เพียงแค่ผสมปูนผงเข้ากับน้ำเปล่า และยังเป็นปูนที่ให้เนื้อที่มีความเหลวค่อนข้างมาก จึงสามารถใช้เทลงไปบริเวณใต้แผ่นเพลทได้อย่างทั่วถึง โดยไม่มีรูโพรงเกิดขึ้น มากกว่านั้นปูน Non-Shrink ยังมีคุณสมบัติที่สามารถรับแรงกดอัดได้มากกว่าคอนกรีตธรรมดาทั่วไป อีกทั้งเป็นปูนชนิดที่ไม่หดตัว ช่วยลดการแตกร้าวในการเทปูนได้อีกด้วย
ส่วนเหตุผลที่คอนกรีตแบบปกติไม่ถูกผสมมาใช้สำหรับงานอุดหัวเสา เนื่องจากคอนกรีตมีลักษณะเนื้อที่ไม่เหลว ทำให้เมื่อเทลงไปบริเวณใต้เพลทแล้ว คอนกรีตไม่สามารถไหลเข้าไปในช่องว่างที่มีพื้นที่คับแคบได้อย่างทั่วถึงจนอาจมีรูโพรงเกิดขึ้นได้ และถ้าหากผสมคอนกรีตให้มีลักษณะเนื้อที่เหลวมาก ก็จะเป็นการลดความสามารถและประสิทธิภาพในการรับแรงกดอัดของคอนกรีตให้ต่ำลง
วิธีการทั่วไปในการใช้แผ่นเพลทหรือเพลทหัวเสา
- สำหรับงานที่ต้องการความแข็งแรง หรืองานที่ต้องรับน้ำหนักและแรงกดค่อนข้างมาก ส่วนใหญ่มักนำ J-Bolt มาทำการฝังลงไปในเสา ตัวอย่างเช่น เสาในอาคารสูงหรืออาคารโรงงาน เป็นต้น ซึ่งเสาที่ถูกนำมาติดตั้งโครงหลังคาต้องมีขนาดพื้นที่หน้าตัดกว้างมากพอที่จะติดตั้งเพลทได้ แล้วจึงทำการอัดปูนเกร๊าท์ลงไปบริเวณช่องใต้เพลท โดยแรงที่เกิดขึ้นทั้งหมด เสาคอนกรีตเสริมเหล็กจะไม่ทำการรับแรงเหล่านั้นโดยตรง แต่จะรับต่อมาจากตัว J-Bolt ที่ถูกฝังเอาไว้อีกทีหนึ่ง
- การติดตั้งเพลท เริ่มจากการเจาะรูเพื่อให้เหล็กเส้นสามารถโผล่ออกมาได้ ก่อนที่จะกำหนดระดับของเพลทรวมทั้งหาระดับของเสาทุกต้น เชื่อมยึดเหล็กเส้นติดกับเพลท แล้วอัดปูนเกร๊าท์ลงไปบริเวณช่องว่างใต้เพลท จากนั้นนำเหล็กรูปตัวซีมาเชื่อมรวมติดกันให้พออยู่ตัวและนำเหล็กฉากสั้นๆมาวางทางด้านข้าง สุดท้ายจึงจะทำการเชื่อมยึดให้แน่นต่อไป
Plate โดยทั่วไปจะมีขนาดและความหนา ดังนี้
- ขนาด 4 x 4 นิ้ว หนา 4.0 หรือ 6.0 มิลลิเมตร
- ขนาด 6 x 6 นิ้ว หนา 4.0, 0 มม. หรือ 9.0 มิลลิเมตร
- ขนาด 8 x 8 นิ้ว หนา 4.0, 0 , 9.0 มม. หรือ 12.0 มิลลิเมตร
ขอบคุณข้อมูลจากhttps://www.chi.co.th/article/article-1150/
โดย khwankaew | พ.ค. 28, 2020 | ข่าวอุตสาหกรรมเหล็ก
ผลผลิตของเหล็กเสริมคอนกรีต (Reinforcing Bars) ในเดือนเมษายน 2020 ปรับเพิ่มขึ้น 1.1% YoY
ตามที่ สำนักงานสถิติแห่งชาติ (National Bureau of Statistics) รายงานผลผลิตเหล็กเสริมคอนกรีต (reinforcing bars) ในเดือนเมษายน 2020 อยู่ที่ 21.116 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 1.1% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และในช่วงระหว่าง มกราคม-เมษายน 2020 มีผลผลิตเหล็กเสริมคอนกรีต ทั้งสิ้น 74.170 ล้านตัน ลดลง 1.0% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ในเดือนเมษายน ผลผลิตเหล็กลวดอยู่ที่ 12.937 ล้านตัน ลดลง 3.1% เทียบจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ยอดสะสม 4 เดือนแรกของปี อยู่ที่ 46.416 ล้านตัน ลดลง 3.1% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

ใน 4 เดือนแรกของปี 2020 ผลผลิตเหล็กดิบเพิ่มขึ้น 1.3% เทียบจากปีก่อน และผลิตผลิตเหล็กพิก (pig iron) เพิ่มขึ้น 1.3% จากปีก่อนหน้า แต่ผลผลิตผลิตภัณฑ์เหล็กลดลง 0.2% เมื่อเทียบกับปีก่อน ซึ่งสะท้อนถึงการผลิตผลิตภัณฑ์เหล็กที่ชะลอตัวลงเนื่องจาก COVID-19 และสินค้าคงคลังสูง
ในเดือนเมษายน ยอดการผลิตรายวันของเหล็กดิบและเหล็กพิก เพิ่มขึ้น 11.3% และ 11.1% เทียบจากเดือนมีนาคม ตามลำดับ และผลผลิตผลิตภัณฑ์เหล็กส่วนใหญ่เพิ่มขึ้น โดยในกลุ่มของผลผลิตเหล็กเสริมคอนกรีตเฉลี่ยต่อวัน อยู่ที่ 703,900 ตัน เพิ่มขึ้น 90,500 ตัน หรือ 14.75% จากเดือนมีนาคม 2020 การผลิตเฉลี่ยรายวันของเหล็กลวด อยู่ที่ 431,200 ตัน เพิ่มขึ้น 59,600 ตัน หรือ 16.0% จากเดือนมีนาคม 2020 บ่งบอกถึงความต้องการเหล็กก่อสร้างที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากการกลับมาผลิตอีกครั้ง
สินค้าเหล็กคงคลังในประเทศลดลอย่างต่อเนื่อง ในช่วงสิ้นสุดสัปดาห์ (ในวันที่ 15 พฤษภาคม) สินค้าคงคลังเหล็กห้ารายการมีจำนวนทั้งสิ้น 17.9576 ล้าน ลดลง 6.47% จากสัปดาห์ก่อนหน้า ซึ่งลดลงเป็นสัปดาห์ที่สิบติดต่อกัน ในขณะที่สินค้าคงเหลือที่อยู่ทั้งในตลาดและโรงงานลดลง แสดงถึงอุปสงค์และผลผลิตที่สูง
แหล่งที่มา : Steel Business Briefing
โดย saweang | พ.ค. 28, 2020 | บทความเกี่ยวกับเหล็ก
หน้าตาคล้ายกัน แต่การใช้งานนั้นอาจแตกต่างกันในรายละเอียด มาดูกันว่า เหล็ก H-Beam และ I-Beam นั้นใช้งานต่างกันอย่างไรด้วย H-Beam
นั้นมีขนาดหน้าตัดให้เลือกใช้ที่หลากหลาย ตั้งแต่ขนาด H100x50 mm. จนถึงขนาดใหญ่สุด H900x300 mm.ทำให้ H-Beam
นั้นถูกเลือกใช้ในงานที่หลากหลาย ทั้งโครงสร้างของอาคาร, โครงสร้างของโรงงาน หรืองานโครการขนาดใหญ่ เช่น โรงจอดเครื่องบิน (Hangar)แต่สำหรับเหล็ก I-Beam นั้นถูกผลิตขึ้นมาเพื่อใช้ในงานที่เฉพาะเจาะจงมากกว่า
เช่น รางเลื่อนของเครนในโรงงานอุตสาหกรรม เพราะความหนาของ Flange (ปีกที่ยื่นออกมา) ที่มากและมีลักษณะ Taper (เรียวที่ปลาย) ไม่เหมือนกับ H Beam ที่ความหนาของ Flange จะเท่ากันตลอด
ส่งผลให้โดยทั่วไป I-Beam จะสามารถรับแรงกระแทกได้ดี แต่ก็จะมีน้ำหนักที่มากกว่า H-Beam ในขนาดหน้าตัดที่เท่ากัน
เช่น H 300x150x6.5×9 mm. น้ำหนัก 36.7 kg/m
I 300x150x8x13 mm. น้ำหนัก 48.3 kg/m
ซึ่ง I-Beam จะมีน้ำหนักมากกว่าถึง 32 %

เห็นอย่างนี้แล้ว ในครั้งต่อไปเราอาจจะต้องพิจารณาการเลือกใช้ระหว่าง H-Beam กับ I-Beam ให้ถูกกับประเภทการใช้งาน เพื่อเป็นการประหยัดต้นทุนในการก่อสร้างได้อีกทางหนึ่ง
ขอบคุณข้อมูลจากhttps://www.hbeamconnect.com/th/community/blog/VSCh20180412200502110/
โดย saweang | พ.ค. 28, 2020 | บทความเกี่ยวกับเหล็ก
รู้กันว่า H-Beam เป็นเหล็กรูปพรรณรีดร้อนที่ใช้งานกันโดยทั่วไปมากที่สุด แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้น H-Beam ก็ไม่ได้มีตัวเลือกอยู่แบบเดียวในท้องตลาด เมื่อพูดถึงในแง่ของเกรดและคุณภาพจากการผลิต

ตามมาตรฐานมอก. เหล็กรูปพรรณรีดร้อน H-Beam นั้นถูกแบ่งเป็น 7 เกรด หรือ 7 ขั้นคุณภาพอันประกอบด้วยเกรดที่เรียกว่า SS400, SS490, SS540, SM400, SM490, SM 520 และ SM570 ซึ่งการแบ่งเกรดตามที่มอก. กำหนด จะแบ่งเป็น 2 ส่วนหลักๆ คือ
1. คุณสมบัติทางกล หรือ Mechanical Properties

2. คุณภาพตามส่วนประกอบทางเคมี หรือ Chemical Composition


ทั้งนี้ คุณสมบัติทั้งหมด ก็จะส่งผลถึงคุณภาพของการรับแรง เช่น คุณสมบัติการรับแรงดึง (Yield Strength) ที่เหล็ก SS400 จะมีค่าอยู่ที่ 235-245 N / mm2 (~2,400 ksc) ในขณะที่เหล็ก SM520 มีค่ามากถึง 355-365 N / mm2 (~3,600 ksc) ซึ่งจะเห็นว่าต่างกันมากอย่างมีนัยสำคัญ

อย่างไรก็ตามเหล็กรูปพรรณรีดร้อน H-Beam ตามมาตรฐาน มอก. ที่ใช้กันแพร่หลาย และสามารถหาสินค้าได้เป็นปกติ จะมีอยู่ 2 ชนิด คือ SS400 กับ SM520 โดยความแตกต่างหนึ่งคือ ค่าการรับแรงดึงที่ต่างกันตามที่กล่าวไปแล้ว โดยเฉพาะเมื่อเปรียบเทียบในหน้าตัดเท่ากัน เหล็ก SM520 ก็จะรับน้ำหนักได้ดีกว่า หรือพูดอีกแบบหนึ่งได้ว่า ในน้ำหนักที่เท่ากัน โครงสร้าง SM520 ก็จะมีขนาดของโครงสร้างที่เล็กกว่า ซึ่งโดยรวม ก็จะช่วยลดน้ำหนักโครงสร้าง ทำให้ต้นทุนในการก่อสร้างลดลงอย่างมาก และยังส่งผลช่วยลดค่าแรง ค่าขนส่ง และลดภาระฐานรากลงได้อีกมากด้วย
ขอบคุณข้อมูลจากhttps://www.hbeamconnect.com/th/community/blog/VSCh20200329140323953/
โดย khwankaew | เม.ย. 22, 2020 | ข่าวอุตสาหกรรมเหล็ก
แนวโน้มเหล็กและแร่เหล็กในไตรมาสที่ 2: ปริมาณผลิตเหล็กจีนมากขึ้น ได้การสนับสนุนจากแร่เหล็ก
ราคาแร่เหล็กควรมีแรงสนับสนุนในไตรมาสที่ 2 ทั้งที่มีการฟื้นตัวที่ชะลอตัวในส่วนความต้องการเหล็กขั้นปลาย เนื่องจากคาดว่าโรงงานเหล็กจะเพิ่มปริมาณเหล็ก จากข้อมูลการสำรวจแนวโน้มของ S&P Global Platts
ประมาณร้อยละ 38 ของผู้ตอบแบบสอบถามคาดว่าราคาแร่เหล็กจะยังอยู่ในช่วงราคา $80-$90/ตัน CFR ในขณะที่ร้อยละ 28 คาดว่าราคาจะต่ำลงที่ $70-$80/ตัน
ครึ่งหนึ่งของผู้ตอบแบบสอบถาม เชื่อว่าความต้องการแร่เหล็กจะเพิ่มขึ้นในไตรมาสที่ 2 ในขณะที่ร้อยละ 28 คิดว่าความต้องการจะเท่ากับในไตรมาสที่ 1 มีเพียงร้อยละ 13 มองความต้องการแร่เหล็กกำลังลดลง จากการสำรวจ
ทั้งที่เหล็กสำเร็จรูปคงคลังที่เพิ่มขึ้นมากในจีน ซึ่งประมาณร้อยละ 72 ของผู้ตอบแบบสอบถาม เชื่อว่าการผลิตเหล็กดิบจะเพิ่มขึ้นในไตรมาสที่ 2 การค้นพบนี้ตรงข้ามกับการสำรวจก่อนหน้านี้ที่มากกว่าหนึ่งในสามของโรงงานเหล็กบอกว่ากำลังพิจารณาลดการผลิต
มีเพียงหนึ่งในสี่ของผู้ตอบแบบสอบถามคาดกว่าความต้องการจะเป็นปกติภายในสิ้นเดือนเมษายน. ประมาณร้อยละ 35 เชื่อว่าตลาดจะฟื้นตัวเต็มที่ภายในสิ้นเดือนพฤษภาคม และอีกร้อยละ 25 คิดว่าภายในสิ้นเดือนมิถุนายน
“เราคาดว่าตลาดจีนจะกลับมาเป็นปกติได้ในสิ้นเดือนเมษายน แต่มีความไม่แน่นอนเนื่องจากการระบาดของไวรัสโคโรนานอกประเทศ ไม่มีประเทศไหนที่จะกันตัวเองได้ เนื่องจากตลาดเหล็กเป็นตลาดโลก”
การสำรวจพบว่าร้อยละ 37 ของผู้ตอบ คาดว่าการเติบโตของความต้องการเหล็กจะมาจากสาธารณูปโภคพื้นฐานเป็นหลัก ในขณะที่ร้อยละ 19 คิดว่าการก่อสร้างจะยังเป็นภาคหลักที่มีการเติบโตของความต้องการเหล็ก
ผู้อยู่ในตลาดเหล็กคาดว่า รัฐบาลจีนจะใช้สาธารณูปโภคพื้นฐานส่วนใหญ่เพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจหลังจากการระบาดสิ้นสุด
ผู้ตอบส่วนใหญ่ร้อยละ 44 คาดว่าอัตรากำไรของ เหล็กแผ่นรีดร้อนชนิดม้วน (HRC) ในประเทศของจีนจะบางประมาณ 100-200 หยวน/ตัน ($14-$28/ตัน) ในไตรมาสที่ 2 และร้อยละ 20 คาดว่าอัตรากำไรจะอยู่ที่ 300-400 หยวน/ตัน
ตลาด เหล็กแผ่นรีดร้อนชนิดม้วน (HRC) จะขึ้นอยู่กับความต้องการจากเครื่องใช้ไฟฟ้าและรถยนต์เป็นหลัก เราไม่มั่นใจว่าจะฟื้นตัวอย่างเข้มแข็งในไตรมาสที่ 2 ถึงแม้ว่าความต้องการที่เพิ่มขึ้น จะมีในครึ่งหลังของปีก็ตาม โรงงานเหล็กกล่าว
แนวโน้มของอัตรากำไรเหล็กเส้นนั้นเงียบเหงามากๆ หนึ่งส่วนสี่ของผู้ตอบคาดว่าอัตรากำไรอยู่ที่ 100 หยวน/ตันหรือต่ำกว่า ความต้องการในภาคการก่อสร้างคาดว่าจะน้อยลงในปี 2563 เนื่องจากรัฐบาลจีนบอกว่าจะไม่ใช้อสังหาริมทรัพย์ในการกระตุ้นเศรษฐกิจ
Platts ได้ทำการสำรวจ 32 บริษัท สำหรับการสำรวจแนวโน้ม ในช่วง 23-25 มีนาคม ได้แก่ โรงงานเหล็ก เทรดเดอร์ในประเทศและต่างประเทศ และบริษัทเหมืองเหล็ก
แหล่งที่มา : Steel Business Briefing