google.com, pub-1539147387772263, DIRECT, f08c47fec0942fa0

เหล็กแผ่นเคลือบ เตรียมประกาศเป็น มอก.บังคับ มิ.ย. 2567 นี้

“พิมพ์ภัทรา” เร่ง สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม กำหนดมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.) 600 รายการให้เสร็จปี 2567 ครอบคลุมทั้ง EV เชื้อเพลิงชีวภาพ สมุนไพร แผงเซลล์แสงอาทิตย์ เคมีภัณฑ์ จ่อประกาศสินค้าควบคุมอีก 46 รายการคุ้มครองความปลอดภัยประชาชนเร็ว ๆ นี้ ทั้งแบต EV คาร์ซีต ด้านเหล็กแผ่นเคลือบอะลูซิงก์-เหล็กแผ่นเคลือบสังกะสี เริ่มก่อน มิ.ย. 2567 นี้ ผู้ประกอบการ-ผู้นำเข้า เตรียมยื่นขอ มอก. ได้เลย

วันที่ 17 มกราคม 2567 นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า กระทรวงอุตสาหกรรมได้เร่งรัดให้ สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) กำหนดมาตรฐานเพื่อให้ทันกับความต้องการของภาคอุตสาหกรรม และเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันทางการค้า ตลอดจนคุ้มครองประชาชนให้ปลอดภัยจากการใช้สินค้า โดยในปี 2567 นี้ สมอ.ได้ขออนุมัติบอร์ดกำหนดมาตรฐานผลิตภัณฑ์

ตสาหกรรม (มอก.) ไว้ทั้งสิ้นจำนวน 600 เรื่อง แบ่งเป็นมาตรฐานกำหนดใหม่ 443 เรื่อง และมาตรฐานเดิมที่ต้องทบทวนอีกจำนวน 157 เรื่อง ครอบคลุมกลุ่มอุตสาหกรรม S-curve 105 เรื่อง เช่น ยานยนต์สมัยใหม่ อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ การเกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพ

กลุ่ม New S-curve 120 เรื่อง เช่น หุ่นยนต์เพื่ออุตสาหกรรม การบินและโลจิสติกส์ เชื้อเพลิงชีวภาพและเคมีชีวภาพ การแพทย์ครบวงจร กลุ่มมาตรฐานตามนโยบาย 32 เรื่อง เช่น นวัตกรรม สมุนไพร กลุ่มส่งเสริมผู้ประกอบการ 163 เรื่อง เช่น หลอดรังสีอัลตราไวโอเลตใช้สำหรับการทำผิวสีแทน สายไฟฟ้าสำหรับยานยนต์ แผงเซลล์แสงอาทิตย์ และกลุ่มอุตสาหกรรมอื่น ๆ 23 เรื่อง เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้า เคมีภัณฑ์ ซึ่งในจำนวน 600 เรื่องนี้ เตรียมประกาศเป็นสินค้าควบคุมเพื่อความปลอดภัยของประชาชนจำนวน 46 เรื่อง เพิ่มเติมจากที่ สมอ. ประกาศไปแล้ว 144 เรื่อง

นายวันชัย พนมชัย เลขาธิการสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) กล่าวว่า สินค้าที่จะประกาศเป็นสินค้าควบคุมภายในปี 2567 นี้ มีจำนวนทั้งสิ้น 46 เรื่อง แบ่งเป็นมาตรฐานบังคับใหม่ 25 เรื่อง เช่น แบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าและรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า การชนด้านข้างและด้านหน้าของรถยนต์ ตู้กดน้ำดื่ม เครื่องใช้ไฟฟ้าที่เติมปรอท คาร์ซีตสำหรับเด็ก ดวงโคมไฟฟ้า ชิ้นส่วนท่อไอเสียรถจักรยานยนต์ รถยนต์ขนาดเล็กที่ติดตั้งระบบก๊าซเพิ่มเติม ลวดชุบแข็งและอบคืนตัวสำหรับคอนกรีตอัดแรง

เหล็กแผ่นเคลือบอะลูซิงก์ เหล็กแผ่นเคลือบสังกะสี ท่อยางและท่อพลาสติกสำหรับใช้กับก๊าซหุงต้ม ถังดับเพลิงก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ กระป๋องสเปรย์ต่าง ๆ ถุงพลาสติกบรรจุอาหาร และกระดาษสัมผัสอาหาร เป็นต้น

และมาตรฐานที่บังคับต่อเนื่องอีก 21 เรื่อง เช่น เหล็กแผ่นสำหรับงานโครงสร้าง เข็มพืด เครื่องใช้ไฟฟ้าสำหรับการดูแลผม ขน หรือผิว เครื่องทอดน้ำมันท่วมปริมาณน้ำมันไม่เกิน 5 ลิตร กระทะทอด เตาอบไมโครเวฟ เครื่องปรับอากาศ แบตเตอรี่โทรศัพท์มือถือ แบตเตอรี่โน้ตบุ๊ก สวิตช์ไฟฟ้า เครื่องตัดวงจรกระแสเหลือสำหรับใช้ในที่อยู่อาศัย และเคเบิลเส้นใยนำแสงโทรคมนาคมภายนอกอาคาร เป็นต้น

 โดยในเดือนมิถุนายน 2567 นี้ สมอ.จะประกาศให้เหล็กแผ่นเคลือบอะลูซิงก์ และเหล็กแผ่นเคลือบสังกะสีเป็นสินค้าควบคุมก่อน ตามด้วยสินค้าที่เหลือตามลำดับ จึงขอฝากถึงผู้ประกอบการที่ทำและนำเข้าสินค้าดังกล่าว เตรียมยื่นขอ มอก. เพื่อให้การดำเนินธุรกิจเป็นไปอย่างต่อเนื่อง
แหล่งข้อมูล : ประชาชาติธุรกิจ

ส่องทางรอด มิลล์คอน ปั๊มรายได้ปี 2567 สู่ 1.8 หมื่นล้าน

ปี 2566 เหตุการณ์สะเทือนวงการอุตสาหกรรมเหล็กจากผู้ประกอบการต้องปิดกิจการลง ด้วยวิกฤตการณ์เหล็กจีนทุ่มตลาด เป็นบทสะท้อนถึงความท้าทายของอุตสาหกรรมเหล็กที่ต้องสร้างทางรอดให้ธุรกิจ “ประชาชาติธุรกิจ” สัมภาษณ์พิเศษ “นายประวิทย์ หอรุ่งเรือง” กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท มิลล์คอน สตีล จำกัด (มหาชน) หรือ MILL ถึงแผนการดำเนินงานปี 2567 และการรับมือความท้าทายใหม่

โอกาส-ความท้าทาย

ในปี 2567 การแข่งขันยังคงสูง การผลิต ยอดขายของรถยนต์เหลือ 1.8 ล้านคัน รถญี่ปุ่นโดนค่ายจีนเข้ามาแย่งตลาดทำรถยนต์ไฟฟ้า (EV) และตลอดปี 2566 อุตสาหกรรมก่อสร้างยังไม่เห็นโปรเจ็กต์ใหม่ ๆ ซึ่งปี 2567 เป็นภาวะเงินฝืด ตัวที่จะช่วยได้คือเร่งเรื่องงบประมาณเบิกจ่ายภาครัฐ ที่จะมาดันโปรเจ็กต์เก่าและเริ่มโปรเจ็กต์ใหม่

“เราเองปี 2567 ยังคงเป็นปีที่ท้าทายมาก ๆ 2-3 ปีที่ผ่านมา เราลดต้นทุนต่อสู้เพื่อออกผลิตภัณฑ์ใหม่ ผ่านทางบริษัท โคเบลโก้ มิลล์คอน สตีล จำกัด (KMS) บริษัทลูกของมิลล์คอน โดยที่เราซัพพลายบิลเลตหรือเหล็กแท่งให้เพื่อลดการนำเข้า”

อีกด้านก็เป็นเรื่องของการจะไปสู่ Net Zero ตอนนี้ญี่ปุ่นจะทยอยปรับเรื่องเทคโนโลยีเตาหลอม ด้วยเตาอิเล็กทริกอาร์กเฟอร์เนซ (Electric Arc Furnace : EAF) ที่ใช้สำหรับผลิตเหล็กคุณภาพสูง และเพื่อคุมเรื่องสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นเตาที่มิลล์คอนใช้อยู่แล้ว ทำให้สัดส่วนเหล็กเกรดพิเศษมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเป็น 70-80% และมีผลิตภัณฑ์ที่เป็น Ordinary เหลือประมาณ 20% เท่านั้น อย่างพวกตะปู ตะแกรงเหล็กต่าง ๆ

รายได้ปี 2566 น่าจะเท่ากับปีที่แล้ว ประมาณ 17,000-18,000 ล้านบาท ส่วนปี 2567 เรื่องจำนวน (Volume)อาจจะไม่โตแต่จะโตเรื่องมูลค่า (Value) เพราะเหล็กธรรมดาราคา 19 บาท/กก. แต่ถ้าเป็นเกรดพิเศษราคาจะสูงถึง 20 กว่าบาทไปถึง 30-40 บาท

ถ้ามองภาพรวมอุตสาหกรรมเหล็กปี 2566 มีผลจากอุตสาหกรรมก่อสร้างการลงทุนดีเลย์ โปรเจ็กต์เกิดขึ้นน้อยมากมีแค่เมกะโปรเจ็กต์ของเอกชนจึงทำให้ดีมานด์ไม่พอกับซัพพลาย เป็นที่มาว่าเราต้องเข้าไปคุยกับภาครัฐ

ส่วนที่ยังกังวลปีหน้า คือ เรื่องต้นทุนพลังงาน เราก็หวังอยากให้รัฐช่วยเรื่องมาตรการทางภาษี VAT เศษเหล็ก ตอนนี้เห็นว่าสรรพากรกำลังพิจารณาให้อยู่

 ซอฟต์แวร์คุมฝุ่น

อุตสาหกรรมผลิตเหล็ก ถูกควบคุมเรื่องสิ่งแวดล้อมมาก ล่าสุดกลุ่มอุตสาหกรรมปิโตรเคมีของสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) อยู่ระหว่างทดลองตัวซอฟต์แวร์คุมฝุ่นแทนการติดตั้งระบบการตรวจวัดอากาศจากปล่องระบาย (CEMS) ที่กรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) บังคับให้ทุกโรงงานต้องติดตั้งภายในกลางปี 2567

“ซอฟต์แวร์นี้จะทำหน้าที่เก็บข้อมูล วิเคราะห์ และส่งรายงานไปยัง กรอ. ราคาตัวละกว่า 3 ล้านบาท โรงงานไหนมีหลายปล่องก็หนักเลย เพราะเป็นต้นทุน ตอนนี้ กรอ.เขาขยายเวลาให้ประมาณ 6 เดือน ถ้าทดลองตัวซอฟต์แวร์ใหม่นี้ได้ โรงงานก็ใช้ซอฟต์แวร์ตัวนี้ได้เลย หรือถ้าต้องติด CEMS จริง ๆ เราก็เสนอขอให้ช่วยหาสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำจากแบงก์รัฐหรือดึงกองทุนมาเสริมอีกทาง”

โรงไฟฟ้าขยะ ธุรกิจใหม่

แผนการลงทุนในต่างประเทศ อย่างในเมียนมา เราลงทุนโรงเหล็กที่เขตเศรษฐกิจพิเศษติลาวา มา 7-8 ปี เพื่อผลิตเหล็กท่อขายในประเทศ แต่ละเดือนก็มีกำลังการผลิต 2,000 ตัน การค้าขายไปได้ แม้มีปัญหาเรื่องการเมืองภายใน ส่วนอัตราแลกเปลี่ยนที่ค่อนข้างมีข้อจำกัดจึงยังไม่มีแผนขยายการลงทุนเพิ่ม

ส่วนการลงทุนในประเทศ เรามีบริษัท เวสท์เทค เอ็กโพเนนเชียล จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในกลุ่มมิลล์คอน จับมือกับทางกัลฟ์ลงทุนโรงไฟฟ้าขยะอุตสาหกรรมจะเริ่มเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ (COD) และรับรู้รายได้ในปี 2568

ซึ่งตอนนี้เราถือหุ้นอยู่ 60% และเตรียมตัวจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย จากนั้นจะทยอยเฟดตัวจากการถือหุ้น เพราะเวสท์เทคฯจะมีพาร์ตเนอร์รายใหม่เข้ามาจอยต์ การที่เราโดดจากเหล็กไปเรื่องโรงไฟฟ้า เป็นธุรกิจที่ต่อเนื่องกัน อย่างพวกซากรถยนต์ไม่ได้มีแค่เศษเหล็ก แต่ยังมีทองเหลือง ทองแดง ยาง พรม พลาสติก นับวันยิ่งมีมูลค่า

 

สำหรับปี 2567 ที่บอกชะลอการลงทุนไว้ก่อน เพราะที่ผ่านมาเราก็พัฒนาตัวเองไปหลายอย่าง แต่เราไม่ได้หยุดลงทุนพัฒนาตัวเอง จากนี้ต้องพยายามทำให้อุตสาหกรรมเราแข็งแกร่งก่อน ต้องใช้ความเก่ง คนในอุตสาหกรรมต้องมองไปในทิศทางเดียวกัน

แหล่งที่มา : ประชาชาติธุรกิจ

“นิปปอน สตีล” ทุ่มหมื่นล้าน เทคโอเวอร์ “ยูเอส สตีล” ขึ้นแท่นเบอร์ 3 ของโลก

“นิปปอน สตีล” ทุ่มหมื่นล้าน เทคโอเวอร์ “ยูเอส สตีล” ขึ้นแท่นเบอร์ 3 ของโลก

“นิปปอน สตีล” ยักษ์ใหญ่ผู้ผลิตเหล็กอันดับ1 ของญี่ปุ่นประกาศทุ่มเงินกว่า 1,400 ล้านดอลลาร์สหรัฐเป็นเงินสด ซื้อกิจการบริษัท “ยูเอส สตีล” ในสหรัฐ ซึ่งจะทำให้กำลังการผลิตพุ่งทะยาน และขึ้นแท่นเป็นผู้ผลิตเหล็กรายใหญ่อันดับสามของโลก

นิปปอน สตีล คอร์ป (นิปปอน สตีล) ซึ่งเป็น บริษัทผู้ผลิตเหล็ก รายใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่น และใหญ่อันดับ 4 ของโลก เปิดเผยวานนี้ (18 ธ.ค.) ว่า จะเข้าซื้อกิจการ บริษัท ยูไนเต็ด สเตทส์ สตีล คอร์ป หรือ ยูเอส สตีล ซึ่งเป็นบริษัทผลิตเหล็กรายใหญ่อันดับ 27 ของโลก ด้วยเงินสดในวงเงิน 14,900 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

รายงานข่าวระบุว่า  นิปปอน สตีล เสนอซื้อหุ้นยูเอส สตีลในราคาหุ้นละ 55 ดอลลาร์ ซึ่งสูงกว่าราคา ณ ปิดตลาดเมื่อวันศุกร์ (15 ธ.ค.) ถึง 40%

ทั้งนี้ บริษัทที่เกิดขึ้นหลังการควบรวมกิจการดังกล่าวจะกลายเป็นผู้ผลิตเหล็กรายใหญ่อันดับ 3 ของโลก และทำให้นิปปอน สตีลมีกำลังการผลิตเหล็กดิบทั่วโลกราว 86 ล้านตันต่อปี ซึ่งจะปูทางไปสู่เป้าหมายของบริษัทที่ตั้งไว้ 100 ล้านตันต่อปี

ยูเอส สตีล ก่อตั้งมายาวนานถึง 122 ปี

ราคาหุ้น “ยูเอส สตีล” พุ่งรับดีลการเทคโอเวอร์

ภายในวันเดียวกันนั้น ข่าวดีลการเทคโอเวอร์โดยยักษ์ใหญ่ผู้ผลิตเหล็กจากญี่ปุ่นทำให้ราคาหุ้นของบริษัท ยูไนเต็ด สเตทส์ สตีล คอร์ป (ยูเอส สตีล) ซึ่งปัจจุบันเป็นบริษัทผลิตเหล็กรายใหญ่อันดับ 27 ของโลกและมีอายุการก่อตั้งมายาวนาน 122 ปี สำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ในเมืองพิทส์เบิร์ก ศูนย์กลางอุตสาหกรรมเหล็กของสหรัฐ พุ่งขึ้นทันทีในการซื้อขายที่ตลาดหุ้นวอลล์สตรีท

โดย ณ เวลา 22.51 น. (ของวันจันทร์ที่ 18 ธ.ค.) ตามเวลาไทย ราคาหุ้นยูเอส สตีลพุ่งขึ้น 26.52% สู่ระดับหุ้นละ 49.76 ดอลลาร์

นิปปอน สตีลคาดว่า จะสามารถปิดข้อตกลงดังกล่าวในช่วงไตรมาส 2 หรือ 3 ของปี 2567 โดยขึ้นอยู่กับการอนุมัติของที่ประชุมผู้ถือหุ้นของยูเอส สตีล และการอนุมัติจากหน่วยงานควบคุมกฎระเบียบในสหรัฐอเมริกา

นาย เออิจิ ฮาชิโมโตะ ประธานบริษัท นิปปอน สตีล กล่าวผ่านแถลงการณ์ว่า “เราตั้งหน้าตั้งตารอที่จะร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดกับทีมของยูเอส สตีล เพื่อนำส่วนที่ดีที่สุดของบริษัทของเรามาผนวกกันและก้าวไปข้างหน้าในฐานะผู้ผลิตเหล็กที่ดีที่สุด ด้วยสมรรถนะในระดับชั้นนำของโลก

ขณะที่นายเดวิด บี เบอร์ริตต์ ซีอีโอของ ยูเอส สตีล กล่าวว่า “นิปปอน สตีล มีประวัติการเข้าซื้อ ดำเนินกิจการ และทำการลงทุนในโรงงานผลิตเหล็กทั่วโลกในระดับที่เป็นที่ยอมรับในวงกว้าง และเราก็มั่นใจว่า การควบรวมกิจการครั้งนี้จะเป็นผลดีที่สุดต่อทุกฝ่าย”

สหภาพแรงงานยืนกรานคัดค้าน

สำนักข่าววีโอเอ สื่อใหญ่ของสหรัฐรายงานว่า ภายใต้ข้อตกลงซื้อกิจการนี้ นิปปอน สตีล จะไม่แตะต้องสัญญาและข้อตกลงต่าง ๆ ที่บริษัทยูเอส สตีล ทำไว้กับสหภาพแรงงานของตน รวมทั้งจะไม่เปลี่ยนชื่อบริษัท และจะคงที่ทำการใหญ่ของธุรกิจไว้ที่เมืองพิตส์เบิร์ก รัฐเพนซิลเวเนีย ต่อไปด้วย

ถึงกระนั้น สหภาพแรงงาน United Steelwork หรือ USW ก็ยังมีท่าทีต่อต้านการตกลงซื้อขายกิจการครั้งนี้อยู่ดี โดยสมาชิกสหภาพแรงงานราว 11,000 คน ประกาศไว้ก่อนหน้านี้ว่า จะปิดกั้นแผนงานควบรวมกิจการดังกล่าวและร้องขอให้หน่วยงานกำกับดูแลกิจการของสหรัฐปฏิเสธการดำเนินแผนงานนี้ด้วย

จนถึงขณะนี้ การซื้อขายกิจการดังกล่าวยังไม่ถือว่าได้ข้อสรุปเสร็จสิ้นเสียทีเดียว เพราะนอกจากแรงกดดันต่อต้านจากสหภาพแรงงาน USW ที่มีอยู่ทั่วโลกถึง 1.2 ล้านคนแล้ว ข้อเสนอซื้อกิจการนี้ต้องเข้าสู่กระบวนการตรวจสอบโดยคณะกรรมการการลงทุนต่างประเทศในสหรัฐอเมริกา (Committee on Foreign Investment in the United States หรือ CFIUS) ซึ่งจะใช้เวลา 45 วันในการทบทวนรายละเอียดข้อเสนอ และอีก 45 วันเพื่อทำการสืบสวนด้วย

แหล่งที่มา : ข่าวฐานเศรษฐกิจ

มิลล์คอน จี้รัฐช่วยผู้ผลิตเหล็กขอ No VAT ห้ามตั้งโรงเหล็กทุกประเภทแบบมาเลเซีย

มิลล์คอน จี้รัฐช่วยผู้ผลิตเหล็กขอ No VAT ห้ามตั้งโรงเหล็กทุกประเภทแบบมาเลเซีย

มิลล์คอน จี้รัฐช่วยผู้ผลิตเหล็กขอ No VAT ห้ามตั้งโรงเหล็กทุกประเภทแบบมาเลเซีย

“มิลล์คอน สตีล” เผยวิกฤตอุตสาหกรรมผู้ผลิตเหล็กไทยโดนกระทบหนัก

    “มิลล์คอน สตีล” เผยวิกฤตอุตสาหกรรมผู้ผลิตเหล็กไทยโดนกระทบหนัก เจอแรงกดดันแข่งขันราคาจากเหล็กจีน วอนรัฐเร่งช่วยเหลือด่วน ชง 3 มาตรการ “No VAT-ดูแลราคาพลังงาน-ขยายประกาศการห้ามตั้งโรงงานเหล็กเส้นในประเทศต่อไปอีก” เสนอห้ามตั้งโรงงานเหล็กทุกประเภทเป็นเวลา 2 ปีแนวทางเดียวกับมาเลเซีย พร้อมชูเหล็กเกรดพิเศษขยายตลาดใหม่

วันที่ 4  ธันวาคม 2566 นายประวิทย์ หอรุ่งเรือง กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท มิลล์คอน สตีล จำกัด (มหาชน) หรือ MILL เปิดเผยว่า ขณะนี้กลุ่มอุตสาหกรรมเหล็กในประเทศ เข้าขั้นวิกฤตและกำลังได้รับผลกระทบอย่างหนัก จากหลายปัจจัยโดยเฉพาะการถูกดัมพ์ราคา หรือการถูกทุ่มตลาด จากสินค้าจีนที่ไหลเข้าอย่างต่อเนื่องตลอดหลายปีที่ผ่านมา ซึ่งพบว่า มีการนำเข้าผลิตภัณฑ์เหล็กสำเร็จรูป 9 เดือนสะสมจากจีน ในปี 2565 มีจำนวน 2,847,869 ตัน และปี 2566 มีจำนวนทั้งสิ้น 3,490,987 ตัน เพิ่มขึ้นถึง 22.6% (ข้อมูลจาก สถาบันเหล็กและเหล็กกล้าแห่งประเทศไทย) บวกกับต้นทุนการผลิตจากการปรับตัวขึ้นของราคาพลังงาน ส่งผลให้ผู้ประกอบอุตสาหกรรมเหล็กในประเทศไม่สามารถแข่งขันได้

กลุ่มมิลล์คอนฯ ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ผลิตเหล็กรายใหญ่ในประเทศ หนีไม่พ้นที่จะได้รับผลกระทบดังกล่าวไปด้วย ดังนั้นจึงวอนขอให้ภาครัฐ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งเข้ามาช่วยเหลืออุตสาหกรรมเหล็กโดยด่วน โดยส่วนตัวมองว่าภาครัฐจะต้องเข้ามาบูรณาการทั้งระบบตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทาง เพื่อสร้างความแข็งแรงให้กับผู้ประกอบการในประเทศให้สามารถแข่งขันได้ ซึ่งในเบื้องต้นมีข้อเสนอ 3 เรื่องสำคัญ คือ

1.ปัญหาของเศษเหล็ก ที่ปัจจุบันโรงหลอมทั้งหมดในประเทศมีปัญหาเรื่องของการเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) โดยผู้ผลิตเหล็กในฐานะผู้ซื้อผู้บริการ ที่อยู่ในระบบภาษีถูกต้อง สามารถเป็นผู้นำส่งภาษีให้กับทางกรมสรรพากรแทนผู้ขายได้ หรืออาจใช้ในรูปแบบ No VAT เช่นเดียวกับสินค้าเกษตร เนื่องจากเป็นสินค้าอุปโภคบริโภคเช่นกัน

2.ภาครัฐควรเร่งเข้ามาดูแลเรื่องของราคาพลังงานทั้งค่าไฟฟ้า และน้ำมัน ที่จะมีผลต่อการขนส่งสินค้า เนื่องจากขณะนี้ราคาพลังงานที่ใช้ในปัจจุบัน ยังคงเป็นต้นทุนที่สูงอยู่ แม้ภาครัฐจะมีการช่วยเหลือปรับอัตราราคาให้ต่ำลงกว่าเดิมแล้วก็ตาม

3.ผู้ผลิตเหล็กในประเทศ ต้องการให้ภาครัฐขยายระยะเวลาของประกาศการห้ามตั้งหรือขยายโรงงานเหล็กเส้นในประเทศไทยออกไปอีก ซึ่งประกาศดังกล่าวระบุไว้ว่า “ประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง ห้ามตั้งหรือขยายโรงงานผลิตเหล็กเส้นเสริมคอนกรีตหรือเหล็กแท่งเล็กสำหรับเหล็กเส้นเสริมคอนกรีตทุกขนาด ทุกท้องที่ ในราชอาณาจักรตาม พ.ร.บ.โรงงาน พ.ศ. 2535 เป็นเวลา 5 ปี” ซึ่งประกาศมีขึ้นในปี 2563 และจะครบกำหนดในปี 2568

นอกจากนี้ ยังเสนอให้ไทยใช้แนวทางเดียวกับประเทศมาเลเซีย ที่ห้ามตั้งโรงงานเหล็กทุกประเภทเป็นเวลา 2 ปี ถือเป็นมาตรการที่ปกป้องตลาดเหล็กในประเทศได้อย่างมาก

ปัจจุบัน มิลล์คอนฯ มีการผลิตเหล็กเส้น เหล็กแท่งทรงยาว เหล็กเส้นข้ออ้อย และผลิตภัณฑ์เหล็กคุณภาพสูงประเภทอื่น ๆ รวมกำลังการผลิต 10,000-20,000 ตัน/เดือน หรือ 200,000 ตัน/ปี ซึ่งลดลงจากกำลังการผลิตเต็ม (Capacity) ที่มีถึง 600,000 ตัน/ปี กำลังการผลิตที่ไม่เต็มความสามารถดังกล่าว เกิดจากมีปริมาณเหล็กที่นำเข้ามาจำนวนมาก ทำให้ไม่สามารถผลิตเต็ม Capacity ที่มีได้ หรือใช้กำลังการผลิตเพียง 20-30% เท่านั้น

ซึ่งสภาวะแบบนี้เกิดขึ้นกับทั้งอุตสาหกรรมผู้ผลิตเหล็กในประเทศ และมีแนวโน้มว่ากำลังการผลิตของแต่ละบริษัทจะลดลงเรื่อย ๆ หากปัญหาการดัมพ์ราคาของเหล็กที่นำเข้าจากจีน ยังไม่ได้รับการแก้ไข และนี่ยังเป็นอีกหนึ่งสาเหตุสำคัญ ที่ล่าสุดโรงงานเหล็กรายใหญ่และเก่าแก่ของไทยต้องปิดกิจการลง สะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนว่าอุตสาหกรรมเหล็กไทยเข้าขั้นวิกฤต

“เรามีกำลังการผลิตแต่ใช้ไม่ได้ วิกฤตที่เกิดขึ้นทั้งหมด มิลล์คอนฯ และผู้ผลิตเหล็กในประเทศ ต่างวิตกกังวลอย่างมาก เพราะการใช้กำลังการผลิตที่ลดลง เป็นผลจากการอนุญาตให้ตั้งโรงงานผลิตเหล็กเส้นเพิ่มเติมในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยไม่ได้ศึกษาความต้องการอย่างจริงจัง ทำให้กำลังการผลิตส่วนเกินเพิ่มขึ้นอย่างมาก เป็นเหตุให้มีการแข่งขันเชิงการค้าขายอย่างสูง

มีการหั่นราคาจนผู้ประกอบการเดิมต้องปิดตัวลงหลายรายในข่วง 5 ปีที่ผ่านมา จึงต้องเสนอมาตรการและขอให้ภาครัฐเข้ามาช่วยเหลือโดยเร็วที่สุด แต่มิลล์คอนฯเองนอกจากรอความช่วยเหลือจากภาครัฐ อีกแนวทางหนึ่งคือการปรับตัวหันไปสู่การผลิตเหล็กเกรดพิเศษ เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์ และขยายตลาดเพิ่ม”

แหล่งที่มา : ประชาชาติธุรกิจ 

อุตสาหกรรมเหล็กไทย เข้าขั้นวิกฤต จับตาปิดตัวระนาว

อุตสาหกรรมเหล็กไทย เข้าขั้นวิกฤต จับตาปิดตัวระนาว

อุตสาหกรรมเหล็กไทย เข้าขั้นวิกฤต จับตาปิดตัวระนาว

อุตสาหกรรมเหล็กไทย เข้าขั้นวิกฤต จับตาปิดตัวระนาว

อุตสาหกรรมเหล็กไทย เข้าขั้นวิกฤต จับตาปิดตัวระนาว บทบรรณาธิการ หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 3946

ผลกระทบจากการฟื้นตัวที่ยังไม่ชัดเจนของเศรษฐกิจโลก อัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งอัตราดอกเบี้ยที่สูงในประเทศส่วนใหญ่ ล้วนเป็นข้อจำกัดการฟื้นตัวของอุปสงค์เหล็กโลก โดยสมาคมเหล็กโลก (World Steel Association) คาดการณ์ว่า ปี 2556 ความต้องการใช้จะฟื้นตัวเพียง 2.3% เป็น 1,822.3 ล้านตัน  

แม้ว่า จะมีปัจจัยบวกจากการปรับตัวของยุโรป ที่แก้ปัญหาขาดแคลนพลังงาน และการผ่อนคลายปัญหาคอขวดในห่วงโซ่อุปทาน รวมทั้งการเติบโตของอุปสงค์จากแรงหนุนของภูมิภาคต่างๆ ยกเว้นจีน ซึ่งความต้องการใช้เหล็กในประเทศยังทรงตัว 

ขณะที่สถานการณ์อุตสาหกรรมเหล็กในส่วนของผู้ผลิตเหล็กในประเทศช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ไม่สู้ดีนักจากการที่มีเหล็กนำเข้าจากต่างประเทศเข้ามาขายในราคาตํ่า กระทบผู้ประกอบการในประเทศที่มีความสามารถในการแข่งขันลดลง ล่าสุดบริษัท โรงงานเหล็กกรุงเทพฯ จำกัด ต้องประกาศเลิกจ้างพนักงาน หลังขาดทุนสะสมมาอย่างต่อเนื่อง  

 

การเลิกจ้างคนงานของ บริษัท โรงงานเหล็กกรุงเทพ จากปัญหาภาวะขาดทุนสะสมนั้น อาจจะเรียกว่า เป็นการปิดตำนานโรงเหล็กทรงยาวในประเทศไทย โดยโรงเหล็กกรุงเทพเป็นโรงงานสุดท้ายที่มีไลน์การผลิตมายาวนานถึง 59 ปี  

ทั้งนี้ข้อมูลของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ระบุว่า ในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2566 มีธุรกิจเหล็กปิดตัวไปแล้ว 75 ราย หรือ ลดลง 35% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ปิดตัวไปถึง 117 ราย ส่วนทุนจดทะเบียนธุรกิจที่เลิกกิจการ คิดเป็นมูลค่า 393.06 ล้านบาท โดยมีข้อน่าสังเกตว่า ธุรกิจเหล็กที่ปิดตัวลงไปส่วนใหญ่จะเป็นผู้ผลิตรายกลางและรายเล็ก  

ปัจจุบันประเทศไทยมีธุรกิจเกี่ยวกับเหล็กที่ยังคงอยู่ 4,855 ราย แต่วงการเหล็ก มีการวิเคราะห์แนวโน้มสถานการณ์อุตสาหกรรมเหล็กว่า กำลังจะเกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ในปี 2567 จากการขยายกำลังการผลิตของผู้ผลิตเหล็กสัญชาติจีน ที่เข้ามาตั้งโรงงานผลิตในประเทศไทย 

 

หลังจากที่รัฐบาลไทยอนุญาตให้โรงงานเหล็กจากจีน เข้ามาตั้งโรงงานผลิตในประเทศ โดยใช้เตาหลอมแบบ IF หรือ induction furnace ซึ่งเป็นเตาประเภทที่ส่งผลต่อสิ่งแวดล้อมและในประเทศจีนไม่อนุญาตให้ใช้เตาหลอมแบบนี้แล้ว 

ขณะที่โรงงานเหล็กที่เลิกดำเนินกิจการไป จะใช้เตาหลอมแบบ EAF หรือ electric arc furnace สำหรับรีดเป็นเหล็กเส้นและเหล็กลวด ซึ่งมีต้นทุนที่สูงกว่า   

นอกจากนั้น ความต้องการใช้เหล็กในจีนที่ทรงตัว แต่โรงงานเหล็กได้เพิ่มปริมาณการผลิตเหล็กอย่างมากเป็นระดับสูงสุดในรอบ 7 ปี จึงมีการส่งออกสินค้าเหล็กทุ่มตลาดจำนวนมาก จากจีนไปยังภูมิภาคต่างๆ รวมถึงอาเซียนและไทยด้วย

แม้รัฐบาลจะใช้มาตรการภาษีตอบโต้การทุ่มตลาด แต่ก็ยังไม่สามารถสกัดได้มากนัก จึงต้องศึกษาเชิงลึก เพื่อปกป้องอุตสาหกรรมเหล็กในประเทศให้สามารถแข่งขันและอยู่รอดในระยะยาวได้ 

แหล่งที่มา : ฐานเศรษฐกิจ

“อุตสาหกรรมเหล็ก”วิกฤติหนัก หลังจีนทุ่มตลาดกดราคาขาย

“อุตสาหกรรมเหล็ก”วิกฤติหนัก หลังจีนทุ่มตลาดกดราคาขาย มิลล์คอนวอนภาครัฐ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งเข้ามาช่วยเหลือโดยด่วน แนะบูรณาการทั้งระบบตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทาง

    นายประวิทย์ หอรุ่งเรือง กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท มิลล์คอน สตีล จำกัด (มหาชน) หรือ MILL เปิดเผยว่า ขณะนี้กลุ่มอุตสาหกรรมเหล็กในประเทศ เข้าขั้นวิกฤตและกำลังได้รับผลกระทบอย่างหนัก จากหลายปัจจัยโดยเฉพาะการถูกดั้มราคา หรือการถูกทุ่มตลาดจากสินค้าจีนที่ไหลเข้าอย่างต่อเนื่องตลอดหลายปีที่ผ่านมา 

ทั้งนี้ พบว่ามีการนำเข้าผลิตภัณฑ์เหล็กสำเร็จรูป 9 เดือนสะสมจากจีน ในปี 2565 มีจำนวน 2,847,869 ตัน และปี 2566 มีจำนวนทั้งสิ้น 3,490,987 ตัน เพิ่มขึ้นถึง 22.6% (ข้อมูลจาก สถาบันเหล็กและเหล็กกล้าแห่งประเทศไทย) บวกกับต้นทุนการผลิตจากการปรับตัวขึ้นของราคาพลังงาน ส่งผลให้ผู้ประกอบอุตสาหกรรมเหล็กในประเทศไม่สามารถแข่งขันได้

สำหรับกลุ่มมิลล์คอนฯ ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ผลิตเหล็กรายใหญ่ในประเทศ หนีไม่พ้นที่จะได้รับผลกระทบดังกล่าวไปด้วย ดังนั้นจึงต้องการให้ภาครัฐ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งเข้ามาช่วยเหลืออุตสาหกรรมเหล็กโดยด่วน 

โดยส่วนตัวมองว่าภาครัฐจะต้องเข้ามาบูรณาการทั้งระบบตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทาง  เพื่อสร้างความแข็งแรงให้กับผู้ประกอบการในประเทศให้สามารถแข่งขันได้  ซึ่งในเบื้องต้นมีข้อเสนอ 3 เรื่องสำคัญ ประกอบด้วย
  • ปัญหาของเศษเหล็ก ที่ปัจจุบันโรงหลอมทั้งหมดในประเทศมีปัญหาเรื่องของการเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) โดยผู้ผลิตเหล็กในฐานะผู้ซื้อผู้บริการ ที่อยู่ในระบบภาษีถูกต้อง สามารถเป็นผู้นำส่งภาษีให้กับทางกรมสรรพากรแทนผู้ขายได้ หรืออาจใช้ในรูปแบบ No VAT เช่นเดียวกับสินค้าเกษตร เนื่องจากเป็นสินค้าอุปโภคบริโภคเช่นกัน
  • ภาครัฐควรเร่งเข้ามาดูแลเรื่องของราคาพลังงานทั้งค่าไฟฟ้า และน้ำมัน ที่จะมีผลต่อการขนส่งสินค้า เนื่องจากขณะนี้ราคาพลังงานที่ใช้ในปัจจุบัน ยังคงเป็นต้นทุนที่สูงอยู่ แม้ภาครัฐจะมีการช่วยเหลือปรับอัตราราคาให้ต่ำลงกว่าเดิมแล้วก็ตาม 
  • ผู้ผลิตเหล็กในประเทศ ต้องการให้ภาครัฐขยายการห้ามตั้งหรือขยายโรงงานเหล็กเส้นในประเทศไทยออกไปอีก ซึ่งประกาศดังกล่าว ระบุไว้ว่าประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง ห้ามตั้งหรือขยายโรงงานผลิตเหล็กเส้นเสริมคอนกรีตหรือเหล็กแท่งเล็กสำหรับเหล็กเส้นเสริมคอนกรีตทุกขนาด ทุกท้องที่ ในราชอาณาจักรตาม พ.ร.บ.โรงงาน พ.ศ. 2535 เป็นเวลา 5 ปี ซึ่งประกาศมีขึ้นในปี 2563 และจะครบกำหนดในปี 2568 

นอกจากนี้ ยังเสนอให้ไทยใช้แนวทางเดียวกับประเทศมาเลเซีย ที่ห้ามตั้งโรงงานเหล็กทุกประเภทเป็นเวลา 2 ปี ถือเป็นมาตรการที่ปกป้องตลาดเหล็กในประเทศได้อย่างมาก 

อย่างไรก็ดี ปัจจุบันมิลล์คอนฯ มีการผลิตเหล็กเส้น เหล็กแท่งทรงยาว เหล็กเส้นข้ออ้อย และผลิตภัณฑ์เหล็กคุณภาพสูงประเภทอื่นๆ รวมกำลังการผลิต 10,000-20,000 ตัน/เดือน หรือ 200,000 ตัน/ปี ซึ่งลดลงจากกำลังการผลิตเต็ม(Capacity) ที่มีถึง 600,000 ตัน/ปี กำลังการผลิตที่ไม่เต็มความสามารถดังกล่าว เกิดจากมีปริมาณเหล็กที่นำเข้ามาจำนวนมาก ทำให้ไม่สามารถผลิตเต็ม Capacity ที่มีได้ หรือใช้กำลังการผลิตเพียง 20-30% เท่านั้น 

ซึ่งสภาวะแบบนี้เกิดขึ้นกับทั้งอุตสาหกรรมผู้ผลิตเหล็กในประเทศ และมีแนวโน้มว่ากำลังการผลิตของแต่ละบริษัทจะลดลงเรื่อยๆ หากปัญหาการดั้มราคาของเหล็กที่นำเข้าจากจีน ยังไม่ได้รับการแก้ไข 

และนี่ยังเป็นอีกหนึ่งสาเหตุสำคัญ ที่ล่าสุดโรงงานเหล็กรายใหญ่และเก่าแก่ของไทยต้องปิดกิจการลง สะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนว่าอุตสาหกรรมเหล็กไทยเข้าขั้นวิกฤต
  
นายประวิทย์ กล่าวอีกว่า บริษัทฯมีกำลังการผลิตแต่ใช้ไม่ได้ วิกฤตที่เกิดขึ้นทั้งหมดมิลล์คอนฯ และผู้ผลิตเหล็กในประเทศ ต่างวิตกกังวลอย่างมาก เพราะการใช้กำลังการผลิตที่ลดลง เป็นผลจากการอนุญาตให้ตั้งโรงงานผลิตเหล็กเส้นเพิ่มเติมในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยไม่ได้ศึกษาความต้องการอย่างจริงจัง ทำให้กำลังการผลิตส่วนเกินเพิ่มขึ้นอย่างมาก เป็นเหตุให้มีการแข่งขันเชิงการค้าขายอย่างสูง 

แหล่งที่มา : ฐานเศรษฐกิจ

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า